
เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 สำนักข่าว Irrawaddy รายงานว่า ทางการพม่าได้นิรโทษกรรมนักโทษในคดีต่างๆจำนวน 4,893 คน เนื่องในโอกาสวันปีใหม่ของพม่า แต่พบตัวเลขนักโทษทางการเมืองที่ได้รับการปล่อยตัวเพียง 22 คน เท่านั้น โดยเป็นชาย 14 คน และหญิงอีก 8 คน ขณะที่คุกอินเส่งซึ่งเป็นคุกที่ได้ชื่อว่าคุมขังนักโทษการเมืองไว้เป็นจำนวนมากเต็มไปด้วยบรรยากาศประชาชนเป็นจำนวนมากมารอรับนักโทษที่ได้รับการปล่อยตัว
นายอูฮานตะหยิ่น ผู้ร่วมก่อตั้งสำนักข่าว Kamayut ซึ่งได้รับการปล่อยตัวด้วยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปล่อยตัวนักโทษเป็นจำนวนมาก ทางเครือข่ายนักโทษการเมืองพม่า The Political Prisoners Network – Myanmar (PPNM) ระบุว่า มีเพียงตัวเลขนักโทษการเมืองจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ได้รับการปล่อยตัว ขณะที่ตามข้อมูลของสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองพม่า (Assistance Association for Political Prisoners) เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ระบุว่ากองทัพพม่ายังคงคุมขังนักโทษการเมืองพม่าอยู่อีกจำนวน 22,197 คน
ทั้งนี้การปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองเกิดขึ้นพร้อมๆกับช่วงเวลาที่ พล.อ.มิน อ่อง หลาย เดินทางเยือนประเทศไทยเพื่อหารือกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน โดยหัวข้อการหารือในครั้งนี้ จะเน้นไปที่เรื่องของการช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนในพม่า รวมถึงการพูดคุยเรื่องสันติสุขเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามการเยือนไทยเพื่อหารือกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในครั้งนี้ ถูกประณามจากกลุ่มติดอาวุธฝ่ายต่อต้านกองทัพพม่าทั้งจากรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) พรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนี (Karenni National Progressive Party) กองทัพแนวร่วมแห่งชาติชิน (Chin National Front) โดยแสดงความสงสัยเกี่ยวกับความเหมาะสมของแผนการของอาเซียนที่จะหารือเกี่ยวกับความพยายามช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับ พล.อ.มิน อ่อง หลาย
ในขณะที่กองทัพพม่ายังคงโจมตีทางอากาศอย่างไม่เลือกหน้า แม้กระทั่งหลังจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่หรือแม้แต่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของพม่าก็ตาม โดยฝ่ายต่อต้านกองทัพพม่าเรียกร้องให้อาเซียนประสานงานกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว แทนที่จะส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้กับรัฐบาลทหารพม่าเพียงอย่างเดียว โดยทางกลุ่มเหล่านี้ ยังอ้างถึงการขาดความชอบธรรมของกองทัพพม่าในการเป็นตัวแทนของประชาชนในพม่าทั้งหมด และความเสี่ยงสูงในการใช้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปในทางที่ผิดเพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง โดยฝ่ายต่อต้านยังได้เรียกร้องให้อาเซียนใช้ความระมัดระวังในการติดต่อกับกองทัพพม่า