Search

เรามีรัฐบาลไว้ทำไม? คำถามจากริมน้ำกก-น้ำสาย

ภาสกร จำลองราช

เสียงตั้งคำถาม “เรามีรัฐบาลไว้ทำไม” ดังแหลมคมขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งคนตั้งคำถามมีวิถีชีวิตที่ยึดโยงอยู่กับแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ความหมายของคำถามนี้จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น

เมื่อกว่า 6 เดือนก่อน ภัยพิบัติจากมวลน้ำขนาดใหญ่ที่เคลื่อนตัวมาพร้อมกับดินโคลนมหาศาลได้ถล่มพื้นที่ 2 ฟากฝั่งแม่น้ำกก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ.เมือง จ.เชียงราย พังเสียหายยับเยิน จนกระทั่งถึงวันนี้โคลนที่อุดตันอยู่ตามท่อระบายน้ำและซอกมุมต่างๆ ก็ยังล้างออกไม่หมด

เช่นเดียวกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาที่ชาวแม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย ต้องเผชิญกับอุทกภัยซ้ำแล้วซ้ำอีก จนตลาดสายลมจอยซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้งชื่อดังแทบไม่เป็นอันได้ขายของ

สุดท้ายเมื่อฝนตกห่าใหญ่ในรัฐฉานซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ ชะตากรรมของคนริมแม่น้ำสายก็เป็นเช่นเดียวกับลุ่มน้ำกก นั่นคือแทบทั้งเมืองถูกท่วมด้วยทะเลโคลน

หลังจากปล่อยให้ประชาชนเคว้งคว้างพร้อมเสียงก่นด่าเป็นตัวขับเคลื่อนอยู่ 4-5 วัน ในวันที่ 16 กันยายน 2567 นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ก็ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง คือคณะกรรมการอำนวยการ อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม หรือ คอส. ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมตั้งศูนย์อำนวยการช่วยเหลืออุทกภัยวาตภัย และดินโคลนถล่ม หรือ ศปช. ที่มีรองนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นผู้อำนวยการ

การประชุมของ คอส.เกิดขึ้นในช่วงแรกๆพร้อมกับการตีปี๊บความช่วยเหลือเยียวยาให้ผู้ประสบภัย หลังจากนั้นทุกอย่างก็ค่อยๆเงียบหายตามกาล แม้กระทั่งการค้นหา “ความจริง”ที่ต้นทางของดินโคลนที่ถล่มในครั้งนั้น ก็ยังไม่เกิดขึ้นและไม่มีคำอธิบายใดๆต่อชาวบ้านที่ประสบภัย

น้ำในแม่น้ำกกขุ่นข้นมาอย่างต่อเนื่องตลอดกว่า 6 เดือนนับตั้งแต่เกิดภัยพิบัติ ซึ่งผิดปกติของระบบนิเวศสำหรับสายน้ำแห่งนี้ เพราะโดยปกติในช่วงหลังฤดูฝน น้ำกกจะค่อยๆใสขึ้น และใสแจ๋วในช่วงเทศกาลสงกรานต์

น่าเศร้าใจคือสีขุ่นข้นของสายน้ำกลับไม่มีข้อสังเกตหรือข้อสงสัยใดๆ จากหน่วยงานราชการที่มีอยู่เต็มเชียงราย แม้กระทั่ง คอส.และ ศปช. ก็เช่นกัน

เช่นเดียวกับแม่น้ำสายที่ชาวบ้านไม่เคยเห็นสายน้ำที่สดใสมาแล้วหลายปี โดยเฉพาะในปีที่แล้วก่อนเกิดภัยพิบัติใหญ่ สีของแม่น้ำสายขุ่นข้นจนกลายแทบกลายเป็นสีขาว แต่การตรวจสอบคุณภาพน้ำก็ยังได้คำตอบอยู่ในวงจำกัดและบริบทเดิมๆนั่นคือ ยังสามารถใช้น้ำสายเป็นแหล่งน้ำดิบทำน้ำประปาได้อย่างปลอดภัย

เป็นเรื่องน่าเศร้าเช่นเดียวกัน เพราะทราบกันมา 2-3 ปีแล้วว่า บริเวณต้นแม่น้ำสายมีการเปิดหน้าดินในบริเวณกว้างเพื่อทำเหมืองทองในเขตอิทธิพลของทหารว้า(United Wa State Army -UWSA) แต่ข้อมูลนี้ก็ถูกทำให้จมหายอย่างรวดเร็วพร้อมกับเหตุผล “เดี๋ยวจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ”

การตรวจสอบคุณภาพของน้ำกกจะไม่เกิดขึ้นเลย หากไม่มีการเดินขบวนของชาวบ้านท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดแรกที่แม่น้ำกกไหลจากรัฐฉาน ประเทศพม่าเข้าสู่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 ซึ่งเป็นวันหยุดเขื่อนโลก

ภาพถ่ายทางอากาศทำให้เห็นการเปิดหน้าดินในบริเวณกว้างของพื้นที่ต้นน้ำกก เพื่อทำเหมืองทองของชาวจีนที่ได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังว้า ได้สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงได้พอสมควร ก่อนที่ต้องช็อคเมื่อผลการตรวจคุณภาพน้ำซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 พบว่า น้ำกกบริเวณท่าตอนมีการปนเปื้อนสารโลหะหนักคือสารหนูทั้ง 3 จุดที่เก็บน้ำตัวอย่าง และ 1 ใน 3 จุดนั้น ยังพบสารตะกั่วเกินค่ามาตรฐานด้วย

อีก 2 วันต่อมา ผลการตรวจคุณภาพน้ำกกที่ อ.เมืองเชียงราย ก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน คือปนเปื้อนสารหนูเกินมาตรฐาน พร้อมกับคำประกาศของทางการในการห้ามใช้น้ำกกอุปโภคบริโภค รวมทั้งห้ามสัมผัสน้ำ

ความเงียบเหงาของบรรยากาศริมแม่น้ำกกในช่วงเทศกาลสงกรานต์สะท้อนความวังเวงของประชาชนชาวท่าตอน และชาวเชียงรายได้เป็นอย่างดี

ในวันที่ 10 เมษายน 2568 ผลการตรวจคุณภาพน้ำของแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นสายน้ำคู่แฝดกับแม่น้ำกกก็ออกมาในลักษณะเดียวกัน นั่นคือพบสารหนูเกินเกณฑ์มาตรฐาน

ผลพวงของการทำเหมืองทองที่ขาดความรับผิดชอบบริเวณต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ได้ส่งผลกระทบข้ามแดนสู่ประเทศไทย ทำให้ประชาชนนับล้านคนในลุ่มน้ำทั้งสองต้องเดือดร้อน แต่กลับขาดคำอธิบายอย่างจริงจังจากรัฐบาลไทยว่าจะดำเนินการอย่างไรกับต้นเหตุของปัญหา

ในขณะที่ พ่อลูก “ชินวัตร” ผู้นำในการบริหารบ้านเมืองมีท่าทีกระตือรื้อร้นยิ่งในการต้อนรับ พล.อ.มิน อ่อง หลาย ผู้นำรัฐบาลทหารพม่า ณ กรุงเทพมหานคร ถึง 2 ครั้ง 2 คราในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน

แตกต่างกับท่าทีในการหาคำตอบให้กับชาวบ้านลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำสายที่กำลังเผชิญสารพิษที่ไหลข้ามแดนจากฝั่งพม่า แม้ได้เรียกร้องขอความช่วยเหลือมาแล้วข้ามเดือน

พื้นที่ต้นน้ำกกและต้นน้ำสายอยู่ในเขตเมืองสาด รัฐฉานใต้ เป็นเขตอิทธิพลทหารว้าที่ต้องการสถาปนารัฐว้าใต้โดยการสนับสนุนของกองทัพพม่า เพราะต้องการให้เข้ามาแทนที่กองกำลังติดอาวุธของไทใหญ่

ขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่ก็ให้การสนับสนุนกองกำลังว้าด้วยเช่นเดียวกัน เพราะต้องการใช้กองกำลังว้าขยายอิทธิพลคุ้มครองขุมประโยชน์ในดินแดนพม่า

กว่า 20 ปีที่แนวตะเข็บขายแดน 3 จังหวัดภาคเหนือ ซึ่งประกอบด้วย จ.แม่ฮ่องสอน จ.เชียงใหม่ และจ.เชียงราย ฝั่งพม่าตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังว้า พร้อมๆกับการพุ่งพรวดของยาเสพติดที่ทะลักเข้ามาในสังคมไทยราวกับสายน้ำหน้าฝน ซึ่งทางการไทยได้แต่แก้ไขที่ปลายเหตุคือจับกุมการขนยาเสพติดได้คราวละมโหฬาร แต่ไม่สามารถทำลายแหล่งผลิตได้

วันดีคืนดี กองกำลังว้าก็ขยับฐานทหารล้ำเข้ามาในเขตแดนประเทศไทย และทางการไทยทำได้เพียง “เจรจาในทางลับ” ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้บางพื้นที่แถว อ.ปางมะผ้า และ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ทหารว้ายอมถอยออกไปบ้าง แต่อีกหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ กลับยังคงถูกรุกล้ำตั้งฐานปฎิบัติการทางทหารว้าไว้ตระหง่าน

เมื่อเผชิญสถานการณ์ “น้ำพิษ” มลพิษข้ามพรมแดน จากเหมืองทองต้นน้ำในพื้นที่อิทธิพลของทหารว้า ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนไทยนับล้านคน จึงกลายเป็นบทสะท้อนให้เห็น “เกียรติภูมิ” ของรัฐบาลไทย และบุคลากรด้านความมั่นคงของไทยในยุคนี้ได้ชัดแจ๋ว

ฤดูฝนกำลังมาเยือนอีกครั้ง พื้นที่ลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำสายมีความเสี่ยงกับภัยพิบัติยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากการเปิดหน้าดินเพื่อทำเหมืองบริเวณต้นแม่น้ำกว้างขึ้นเรื่อยๆ แต่แผนรับมือภัยพิบัติของทางการกลับยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ประชาชนได้แต่นับถอยหลังและลุ้นระทึก

คำถาม “เรามีรัฐบาลไว้ทำไม” จึงดังขึ้นเรื่อยๆ
และดูเหมือนคำตอบนั้นยังอยู่ในสายลม