Search

เสียง “เตอหน่า”ที่กำลังขาดหายไปจากหมู่บ้าน “บางกลอย”

อัญชลี อีสมันยี

เมื่อ 11 ปีที่แล้วเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนได้พบกับนางยาโพ ชายา หรือที่ปัจจุบันผู้เขียนและมิตรสหายเรียกแกว่า “แม่ยาโพ” ในงาน “We all billy” ที่จัดขึ้น ณ หอศิลป์ BACC จากเหตุการณ์การอุ้มหายของนักปกป้องสิทธิชุมชน “บิลลี่” พอละจี รักจงเจริญ นอกจากเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนได้พบพี่น้องชาติพันธุ์ปาเกอญอที่รวมตัวกันจากทั่วประเทศแล้ว ยังเป็นครั้งที่ได้รู้จักเสียงของ “เตอหน่ากู” เครื่องดนตรีประจำชาติพันธุ์ปาเกอญอ ผ่านการแสดงของแม่ยาโพ ที่บรรเลงร่วมกับ “อ.ชิ” สุวิชาญ พัฒนาไพรวัลย์



งานครั้งนี้ทำให้เกิดความสนใจในประเด็นการถูกบังคับอพยพและลิดรอนสิทธิของคนบางกลอยและตัดสินใจติดตามกลุ่ม “ดินสอสี” พี่ชิและภรรยา ลงพื้นที่หมู่บ้านโป่งลึก-บางกลอย จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดบ้านเกิดของผู้เขียนเอง จึงได้พบและได้ฟังเสียงเตอหน่าของแม่ยาโพที่นั่นอีกครั้ง

แม้จะสนใจติดตามเรื่องราวแต่ด้วยหลากหลายปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้เรื่องราวของคนบางกลอยค่อยๆเลือนไปจากความสนใจของผู้เขียน จนกระทั่งเกิดวิกฤติโควิดเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ชาวบ้านบางกลอยตัดสินใจเดินเท้ากลับป่าใหญ่ที่เป็นแผ่นดินเกิดของตนเองและถูกจับกุมทำให้เกิดการประท้วงใหญ่ใน กทม. และเป็นที่มาของการก่อตั้ง “ภาคีเซฟบางกลอย” ที่เป็นการรวมตัวกันของนักกิจกรรมรุ่นใหม่ผู้สนใจปัญหาสิทธิชาติธุ์ซึ่งผู้เขียนเองก็เป็น 1 ในสมาชิกของภาคี 

ผู้เขียนจึงได้มีโอกาสกลับไปที่หมู่บ้านโป่งลึก-บางกลอยล่างอีกหลายครั้ง ทั้งในฐานะศิลปิน สมาชิกภาคี ผู้ประสานงานในพื้นที่ จนมีความสนิทสนมกับพี่น้องบางกลอยซึ่งรวมถึงแม่ยาโพ ที่แม้เราจะไม่ได้สนทนากันมากนักด้วยกำแพงภาษา แต่สำหรับผู้เขียนรู้สึกว่าเป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งโดยมีความชื่นชมซึ่งกันและกันผ่านทางดนตรี ซึ่งผู้เขียนมักเป็นผู้ติดต่อประสานขอให้แม่ยาโพช่วยแสดงดนตรีทั้งในและนอกหมู่บ้านให้พวกเราได้ชม โดยเสียงเตอหน่าและเสียงร้องของแม่ยาโพก็สร้างความประทับใจให้ทุกคนที่ได้ฟังเสมอมา

จนกระทั่งถึงปีที่แล้วแม่ยาโพบอกว่าด้วยอายุและความไม่แข็งแรงของร่างกายทำให้ไม่สามารถเดินทางออกจากหมู่บ้านเพื่อมาแสดงได้อีกแล้ว ทำให้ผู้เขียนเริ่มรู้สึกกังวล แต่ก็ยังรู้สึกว่าหากพวกเราขึ้นไปที่หมู่บ้านก็ยังจะได้ฟังเสียงเตอหน่าของแม่เหมือนเดิม จึงปล่อยเรื่องนี้ไปจนถึงงานรำลึกครบรอบ 10 ปีการสูญหายของ บิลลี่ ที่จัดขึ้นในหมู่บ้านโดยเชิญผู้เขียนไปเป็นศิลปินในงานร่วมกับแม่ยาโพ จึงได้พบว่าเตอหน่าของแม่นั้นหักพัง และสามีของแม่ก็ชราเกินกว่าจะสร้างเตอหน่าตัวใหม่ให้แม่ได้อีก 

เป็นครั้งแรกที่ในงานวัฒนธรรมบนพื้นที่บางกลอยไม่มีเสียงเตอหน่าซึ่งเป็นเสียงของคนบางกลอยแท้ๆ สร้างความสั่นสะเทือนในจิตใจผู้เขียนอยู่ไม่น้อย

1 ในภารกิจส่วนตัวของผู้เขียนที่ปีนี้ได้เป็น 1 ในผู้ร่วมจัดงานรำลึกปีที่ 11 ของบิลลี่ คือการเอาเตอหน่าตัวใหม่ขึ้นไปให้แม่ยาโพ เพื่อที่เสียงดนตรีของบางกลอยจะยังคงได้ขับขานต่อไป แต่คำถามที่ผุดขึ้นมาในใจคือ หากสิ้นแม่ยาโพไปแล้ว เสียงเตอหน่าของบางกลอยจะเงียบตามไปด้วยหรือไม่

ในมุมองของ ชิ สุวิชาญ ศิลปินและนักวิชาการปาเกอญอสะท้อนว่า ช่วงที่อุทยานเปิดยุทธการตะนาวศรี ชาวบ้านถูกจับข้อหาทำลายป่าและต้นน้ำ มีของกลางเป็นแหจับปลา มีดดายหญ้า เสียม และเตอหน่า 1 ตัว เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการเผาไล่ทั้งชุมชนในปี 2554

“ผมได้เจอแม่ยาโพหนแรกในช่วงข่าว เฮลิคอปเตอร์ตก 3 ลำ พอตามข่าวจึงรู้ว่าเป็นการเผาไล่ชุมชน ทำให้พี่น้องปาเกอญอทางเหนือสะเทือนใจมากเพราะเคยเผชิญเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันมาเมื่อ 20 ปีก่อน เข้าใจความหดหู่ สิ้นหวังเป็นอย่างดี จึงเกิดการระดมข้าวเปลือกหลาย 10 ตัน ทำให้รถไม่พอขน จึงจัดคอนเสิร์ต ‘เสียงเผ่าชนคนต้นน้ำ 3.5’ เพื่อระดมทุนในการขนส่งและค่าเดินทางสำหรับผู้ที่ขึ้นไป และทำพิธีเรียกขวัญข้าวให้พี่น้องบางกลอย มีการแลกเปลี่ยนย่าม และดนตรีของกันและกัน ทำให้ได้รู้จักและเกิดเป็นความผูกพัน และเป็นการพบกันครั้งแรกกับบิลลี่”ศิลปินปาเกอญอเล่าถึงจุดเริ่มต้น

อ.ชิ เล่าต่อว่า ต่อมาร่วมกับกลุ่มดินสอสีจัดค่าย ‘เพาะเมล็ดพันธุ์ดนตรีใจแผ่นดิน’ ทำให้พบว่าผู้ชายในหมู่บ้านยังคงมีบาดแผลทางใจจากการที่เตอหน่าเป็น 1 ในของกลางในคดีทำลายป่าและต้นน้ำ ทำให้ไม่สามารถทำใจบรรเลงในเวลานั้นได้ จึงขอให้ผู้ชายช่วยเป็นผู้ผลิตเครื่องเตอหน่าให้ผู้หญิงเป็นผู้บรรเลง ซึ่งในขั้นตอนการผลิตไม่สามารถหาฝาสังกะสีมาปิดบนตัวเครื่องได้ เตอหน่าของบางกลอยจึงเป็นไม้ทั้งตัว แตกต่างจากเตอหน่าในพื้นที่อื่นๆ 

“นอกจากเตอหน่าแล้วในหมู่บ้านบางกลอย ชาวบ้านอีกหลายคนยังสามารถเล่นซอตรู้(ซอไม้ไผ่) และแคนได้ เมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมจึงมอบเตอหน่าหัวหงส์(ตัวที่แม่ยาโพใช้ถึงปัจจุบัน) ซอตรู้ และแคน 3 ลำให้แก่ทางหมู่บ้าน และพาไปแสดงในงาน “เพชรบุรีดีจัง” หลังจากครั้งนั้นบิลลี่คือผู้ที่พากลุ่มศิลปิน รวมถึงเยาวชนของบางกลอยออกจากหมู่บ้านไปแสดงในเวทีต่างๆจนกระทั่งเขาถูกอุ้มหายไป” ชิ สุวิชาญ เข้าออกหมู่บ้านบางกลอยหลายครั้งในช่วงนั้น ทำให้เขาเข้าใจบาดแผลในใจของชาวบ้านดี

“ในช่วงของการได้ออกไปแสดงข้างนอกนั้นสมาชิกในวงหลายคนไม่มีชุดใส่ คนในหมู่บ้านที่มีก็ให้ยืมไปโดยคิดค่าเช่าเป็นค่าผงซักฟอก โดยให้กำลังใจผู้ที่ได้ออกไปแสดงดนตรีทั้งหมดว่าถึงตัวเองไม่สามารถไปได้ แต่ยังมีเสื้อผ้าไปเป็นตัวแทน”

ขณะที่ศิรษา บุญมา นักออกแบบการสื่อสารเรื่องเสียงและดนตรีท้องถิ่น ทีม Hear and Found ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานบันทึกเสียงภาคสนาม 7 ปี บันทึกเสียงเตอหน่า 5 พื้นที่ชุมชน ซึ่ง 1 ในนั้นคือบ้านบางกลอย โดยเขาได้แบ่งปันเรื่องราวครั้งไปบันทึกเสียงจากแม่ยาโพ เทียบเคียงกับการบันทึกเสียงเตอหน่าจากชุมชนอื่นๆ

“เตอหน่าของแต่ละชุมชนมีความแตกต่างกัน แม้หน้าตาจะคล้ายกัน หลายบ้านเล่าคล้ายๆกันว่าใช้ดีดบรรเลงเวลาไปไร่เพื่อสร้างสุนทรียให้ตนเอง บางบ้านใช้จีบสาว เล่าเรื่อง เก็บบันทึกอะไรบางอย่าง หรือส่วนต่อคำลำนำ แต่ไม่พบการใช้เพื่อทำร้ายผู้อื่นหรือใช้ในการเอาตัวรอดหรือการต่อสู้ เน้นการเล่าเรื่องราวเพื่อขับกล่อมตนเองและผู้อื่น”

ศิรษาเล่าต่อไปว่า ในครั้งที่ได้ขึ้นไปบันทึกเสียงที่หมู่บ้านบางกลอยได้มีโอกาสได้พูดคุยกับแม่ยาโพ เมื่อถามแม่ว่าเล่นเตอหน่าตอนไหน คำตอบคือตอนไปไร่ ซึ่งเป็นชีวิตปกติของแม่ 

“หากมองในเชิงการต่อสู้ทางวัฒนธรรมน่าจะต้องดูบริบทว่าเขา(แม่ยาโพ) ถูกเชิญไปในเวทีรูปแบบใดและเวทีนั้นกำลังสื่อสารอะไรมากกว่า เพราะการที่แม่ยาโพและเครื่องเตอหน่าได้รับการจำกัดความ (identify) ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ทางวัฒนธรรมนั้น มาจากบุคคลภายนอก ซึ่งในความเป็นจริง เราไม่รู้ว่าตัวเขาเอง identify ตนเองแบบนั้นหรือไม่”

นักออกแบบการสื่อสารเรื่องเสียง มองว่าคนปาเกอญอที่แท้จริงเป็นคนรักสงบ ไม่ได้ชื่นชอบการต่อสู้หรือความรุนแรง เว้นแต่มีเหตุให้อดรนทนไม่ไหว ฉะนั้นการเล่นดนตรีของแม่ก็สามารถมองได้ 2 มุม ว่าถูกใช้ไปเล่นในเวทีแบบไหน หรือเล่นด้วยความสบายอกสบายใจ

“บทเพลงของเตอหน่าในแต่ละที่มีความแตกต่างกัน แต่สิ่งที่คล้ายคลึงกันอยู่ในหลายๆเพลงของหลายๆบ้าน บทเพลงจะกล่าวถึงธรรมชาติ ดนตรี คำร้อง ความหมายจะบอกเล่าบริบทความเป็นอยู่ซึ่งเกี่ยวข้องกับธรรมชาติเป็นส่วนมาก หากไม่กล่าวถึงธรรมชาติก็ความรัก ซึ่งเป็น 2 สิ่งที่มักจะผูกกัน”


ศิรษามองว่า แม้ปัจจุบันเตอหน่า จะถูกผลิตออกมาเป็น Key C , G , F เพื่อสะดวกต่อการบรรเลงร่วมกับดนตรีสากลซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีก็ตาม แต่พอเรามีความพยายามเทียบคีย์ เราก็จะมีความพยายามไปจับว่าเขาเป็นอะไร 

“เรารู้สึกว่านักดนตรีจะเล่นอะไรก็เล่นไปเถอะ เพราะยิ่งเราพยายามเทียบ Key ก็ยิ่งเหมือนเราจับเขาไปใส่กรอบดนตรีตะวันตก ซึ่งมันไม่จำเป็น อาจทำให้เราไม่รู้จักหรือเหยียดเสียงอื่น(ที่อยู่นอกกรอบ) มันยังมีอีกหลาย Frequency (ความถี่เสียง) ในโลกนี้ที่เรายังไม่เคยได้ยินและไม่รู้คุณค่าของมันด้วย เพราะเราชินกับระบบดนตรีที่ถูกผลิตมาให้เรา ซึ่งถ้าเราไปฟังเพลงพื้นบ้านของโรมัน อินเดีย เอสโตเนีย อเมซอน เราคงได้ยินอะไรอีกหลายๆอย่างซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราได้ยินอยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งถ้าเราปิด(การฟัง)แล้วบอกว่าดนตรีตะวันตกคือดนตรีที่ถูกต้องที่สุด เราคงสูญเสียโอกาสในการรับฟังดนตรีอื่นๆไป”

ขณะที่พงษ์ศักดิ์ ต้นน้ำเพชร สมาชิกคนสำคัญของชาวบางกลอย เล่าถึงสถานการณ์ในปัจจุบันว่า เครื่องดนตรีถือว่าสำคัญ แต่เราไม่เคยทำเรื่องนี้กันเลย การที่แม่ยาโพยังเล่นเตอหน่าให้พวกเราและคนอื่นๆฟังก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับชุมชน จริงๆก็อยากให้มีการศึกษาเรื่องนี้ แต่ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ทำให้ไม่สามารถฝึกซ้อมดนตรีได้ ซึ่งเราคิดอยู่ตลอดว่า ถ้าวันไหนที่เรามีที่ดินซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิต และทุกคนมีพร้อม  ศิลปวัฒนธรรมชุมชน จะตามมาแน่นอน เพราะดนตรีไม่ใช่สิ่งที่คนบางกลอยอยากละทิ้งไป แต่ไม่สามารถทำต่อได้เพราะทุกคนมีปัญหาสิทธิถูกละเมิดและปากท้องของชาวบ้าน

“ศิลปินในหมู่บ้านอีกคนนอกจากแม่ยาโพคือ ‘ลุงดำ’ ซึ่งจริงๆเป็นผู้ประพันธ์เพลงด้วยตั้งแต่อยู่บางกลอยบนจนถูกอพยพลงมา แต่ภายหลังต้องเผชิญเหตุการณ์ต่างๆบวกกับไม่มีเวลาว่างจากการทำมาหากินจึงส่งต่อมาให้แม่ยาโพ” หนุ่มบางกลอยสะท้อนข้อเท็จจริงที่ทำให้เสียงดนตรีในหมู่บ้านเริ่มขาดหายไป

“ในหมู่บ้านบางกลอยหลายคนจริงๆมีฝีมือทางดนตรี แต่เมื่อต้องเผชิญสถานการณ์ชีวิตที่ย่ำแย่ทำให้ไม่มีใครมีอารมณ์จะเล่นดนตรีได้ มีแต่แม่ยาโพ เวลาขอแล้วแกเต็มใจเล่นให้ฟัง ในขณะที่คนอื่นๆจะรู้สึกเหนื่อยหน่าย”

พงษ์ศักดิ์เล่าว่า ผ่านมาแทบทุกงานของจังหวัดจะติดต่อชาวบ้านบางกลอยให้ไปแสดงโชว์ เพื่อให้เห็นว่าจังหวัดเพชรบุรีมีกลุ่มชาติพันธุ์ปาเกอญอ 

“เขาอยากให้เราโชว์วิถีดั้งเดิมทั้งการทอผ้า การหยอดข้าว ตีผึ้ง และดีดเตอหน่า แต่ในความเป็นจริงแม้แต่การตีผึ้งชาวบ้านก็ทำไม่ได้ เพราะผิดกฎหมายอุทยาน ชาวบ้านถูกจับ การทอผ้าซึ่งเสื้อผ้าจริงๆของพวกเราซึ่งมาจากไร่หมุนเวียน แต่เรากลับไปทำไร่หมุนเวียนไม่ได้”หนุ่มปาเกอญอสะท้อนความเป็นจริงที่ชาวบางกลอยต้องเผชิญ

“มันเป็นความรู้สึกว่าเขาดีแต่เอาเราไปโชว์ ในขณะที่เราใช้วิถีชีวิตจริงๆของเราไม่ได้ เราไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งที่เป็นอยู่แบบนี้ได้เลย ความรู้สึกของการเอาเราไปโชว์มันคือการที่เขาหากินเอากับเรา เรากลายเป็นสวนสัตว์มนุษย์ ความรู้สึกนี้ทำให้ชาวบ้านบางกลอยไม่อยากเล่นเตอหน่า”หนุ่มบางกลอยอธิบายความรู้สึกในส่วนลึกของชาวบ้านซึ่งถูกเหยียบย่ำซ้ำเติมจากภาครัฐมายาวนาน

วันนี้เสียงเตอหน่าของแม่ยาโพกำลังจะขาดห้วง หลังจากที่เสียงดนตรีนี้กรีดเข้ากลางใจของคนฟังเรื่อยมาพร้อมกับจินตภาพถึงอดีตชุมชนเงียบสงบที่ชาวบ้านมีวิถีชีวิตกลางป่าใหญ่ใจแผ่นดิน 

วันนี้หมู่บ้านเก่าแก่ที่ชื่อ “บางกลอย”ได้ถูกเผาทำลายและลบออกจากแผนที่ ขณะที่ชาวบ้านถูกบังคับให้ออกมาเผชิญชะตากรรมอันยากลำบาก การต่อสู้อันยาวนาน ทำให้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนดั้งเดิมกำลังหล่นหายไปทีละชิ้น

เสียงเตอหน่าของแม่ยาโพก็เช่นเดียวกัน อีกไม่นานก็คงขาดหายไปจากชุมชนบางกลอย

———




















On Key

Related Posts

เชื่อกองกำลังปะหล่องยอมคืนเมืองที่ยึดได้ทางเหนือรัฐฉาน หลังถูกจีนกดดันอย่างหนัก ขณะที่กระแสต่อต้านจีนเพิ่มขึ้น แฉรัฐบาลแดนมังกรทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผลประโยชน์ตัวเองในพม่า

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ในรายการ This week’s IRead More →

เผยทหารว้าขยายพื้นที่ทำเหมืองทองเพิ่มขึ้น-ไม่สนใจความเดือดร้อนของคนลุ่มน้ำกก-สาย แม้รู้ข่าวสารปนเปื้อนลงน้ำแล้ว ชาวพม่า-ไทใหญ่เดือดร้อนกันถ้วนหน้า นักวิชาการ มฟล.เสนอ 3 สถาบันการศึกษาร่วมจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำเชียงราย

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ชาวบ้านรายหนึ่งซึ่งอาศRead More →

ประชุมแม่น้ำข้ามแดนนัดแรก จังหวัดเชียงรายดันสร้างฝายดักตะกอนแก้ปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย ตั้งคณะทำงาน 4 ชุด นักวิจัยติงคิดให้รอบคอบ หวั่นไม่มีที่ทิ้งสารพิษ-มีบทเรียนจากลำห้วยคลิตี้

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องธรรมลังกา ศาลากลRead More →