Search

ชาวบ้านริมน้ำกก 7 หมู่บ้านหารือระบบเตือนภัย เชื่อเหมืองแร่เป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกิดภัยพิบัติ ผู้เชี่ยวชาญแนะวิธีเตือนภัย

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (คอก.) มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนข้อมูลและเพิ่มความรู้ให้ 7 ชุมชนตลอดลำน้ำกก ตั้งแต่ชายแดนพม่าที่ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ จนถึง ชุมชนต่างๆใน จ.เชียงราย โดยในช่วงเช้ามีเวทีแลกเปลี่ยนที่วัดสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ 35 คน อาทิ พระอาจารย์อภิชาต รติโก เจ้าคณะตำบลเชียงแสน ผู้ใหญ่บ้านสบกก กลุ่มประมงปางมองสบกก ตัวแทนหมู่บ้านใหม่หมอกจ๋าม บ้านผาใต้ บ้านแคววัวดำ กลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง (The Mekong Butterfly) องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) เครือข่ายประชาชนไทยเพื่อแม่น้ำโขง และกลุ่มรักษ์เชียงของ

พระอภิชาต กล่าวว่า ภัยล่าสุดของแม่น้ำกกที่ประชาชนกำลังมีความกังวล คือสารพิษสารปนเปื้อนในแม่น้ำที่เกิดจากการทำเหมือง ซึ่งได้เดินทางไปจาริกที่เมืองเชียงตุง รัฐฉานเมื่อหลายปีก่อน แม่น้ำชื่อน้ำใส ก็เป็นน้ำใสจริงๆ ไหลเย็น พอไปครั้งล่าสุดน้ำขุ่นคลั่ก มีการทำเหมืองทอง เขาเอาเครื่องมาขุดดินออกมาจากในแม่น้ำ โดยน้ำเหล่านี้ก็ไหลมาลงแม่น้ำรวก ไหลลงแม่น้ำโขง

“น้ำท่วมเมื่อปีที่แล้ว กันยายน 2567  น้ำมาพร้อมตะกอนดินโคลน เมื่อปี 2551 น้ำเคยท่วมแต่ใส ตอนนั้นเรายังพากันพายเรือเล่น แต่น้ำมารอบที่แล้วขุ่นมาก ในหนองก็ขุ่น เราใช้ประปาทดแทนคือหนองน้ำก็ใช้ไม่ได้ น้ำประปาจากร่องน้ำกกที่กรองใช้ในหมู่บ้าน ซึ่งมาจากน้ำในท่าเรือพาณิชย์แห่งที่สอง (เชียงแสน) หมู่บ้านเรามีปัญหาน้ำตลอด น้ำท่วมบ้านเรือน เมื่อลดน้ำก็เป็นตะกอนดิน ทีแรกดีใจน้ำท่วมครั้งที่ผ่านมานี้ ดินฟูขึ้นมาเยอะเลย ได้ดินมาเพิ่มดีใจ แต่กลับมีข่าวสารพิษสารโลหะหนักในแม่น้ำ เราคิดแล้วว่าพืชที่เราปลูกก็คือปลูกกับสารพิษ ผลกระทบหากกินเข้าไปจะเป็นอย่างไร”พระอธิชาต กล่าว

นายมนัสชัย ใจแดง ผู้ใหญ่บ้านสบกก ม.7 ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน กล่าวว่าเรื่องสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำโขง มีทางสาธรณสุขส่งไลน์มาแจ้งว่าสารพิษค่าเป็นศูนย์แล้ว แม่น้ำกกที่ไหลลงมาถึงสบกก มีผลกระทบการทำมาหากิน ประมง ปลูกพืช ข้าวโพด การใช้น้ำ น้ำใต้ดินหากไม่พอเราก็ต้องใช้น้ำโขง น้ำใต้ดินของเราไม่เพียงพอ ตอนนี้เราต้องสูบน้ำมาอุปโภคบริโภค เราใช้น้ำกก น้ำโขง ไม่ได้ มีแจ้งมาเมื่อวานว่าสารพิษเป็นศูนย์แล้ว แต่เรายังไม่เชื่อ ข่าวออกมาสับสน ไปประชุมเทศบาล หมอบอกว่าปลากินได้ แต่หาปลามาได้แล้วกลับไม่มีคนซื้อ รายได้ก็ขาด ต้องขายราคาต่ำ เหลือแค่กก.ละ 30-40 บาท เหตุการณ์ครั้งนี้ผลกระทบเยอะ แม่ค้าก็ไม่อยากซื้อ เขาเลือกซื้อปลาเนื้ออ่อน ปลาแข้ที่เป็นตุ่มออกทีวีไม่ไม่ใครกล้าซื้อ ชาวบ้านขาดรายได้

ขณะที่ชาวบ้านซึ่งตัวแทนกลุ่มประมงหาปลาแม่น้ำกก-โขง กล่าวว่าวันนี้ พวกตนผอมลงมาก ปลาก็จับไม่ได้ หน่อไม้ในป่าก็ไม่มีแล้วเขาตัดไม้ปลูกยางพารากันหมด ชาวบ้านจะลืมตาอ้าปากได้อย่างไร ชาวประมงสบกก หาปลาได้แต่ขายไม่ได้ ซึ่งมนุษย์เรา 70% ของร่างกายเราคือน้ำ แต่ตอนนี้น้ำกลับเป็นพิษ ใช้ไม่ได้ หาปลามาก็กินไม่ได้ เมื่อก่อนกินแต่ปลามาตลอด แต่ตอนนี้ปลาเป็นพิษ น้ำล้างถ้วยจานก็เป็นพิษ ลงน้ำแม่น้ำโขงก็คัน อยากสะท้อนถึงหน่วยงานและรัฐบาลว่าอยากให้ช่วยแนะนำว่าจะแก้ไขได้อย่างไร ประชาชนจะได้มีความสุข มีชีวิตปกติสุข

นส.จุฑามาศ ราชประสิทธิ์ เจ้าหน้าที่อาวุโสมูลนิธิพชภ. กล่าวว่าการริเริ่มติดตั้งเสาระดับน้ำในหมู่บ้าน 7 แห่ง เป็นการเตือนภัยโดยชุมชนและร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ เป็นงานใหม่เราพยายามให้เห็นว่าชุมชนสามารถทำงานได้เพื่อเตือนภัยพิบัติและชุมชนสามารถมีส่วนร่วมได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากการหารือแล้วผู้เข้าร่วมได้ไปลงพื้นที่ “สบกก” ปากแม่น้ำกกซึ่งไหลลงแม่น้ำโขง โดยชาวบ้านจากตอนบนโดยเฉพาะชาวท่าตอนต่างให้ความสนใจเพราะส่วนใหญ่เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางมาเห็นปลายแม่น้ำกกที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง ซึ่งกำลังประสบภัยพิบัติเช่นเดียวกับคนต้นน้ำ

ช่วงบ่ายประมาณเวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมโรงแรมเชียงของทีคการ์เดน เครือข่ายฯ ได้มีการหารือข้อมูลการเตือนภัย มี ดร.อังกูร ว่องตระกูร อาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย นำเสนองาน ”โครงการวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วม ในเขตเมืองจังหวัดเชียงราย ภายใต้แผนงานน้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง 10 จังหวัด” โดยระบุว่าเหตุการณ์น้ำท่วมเชียงรายที่เชียงรายเมื่อปี 2567 เกิดเสียหายกว่า 4,000 ล้านบาท โจทย์วิจัยคือทำอย่างไรให้ลดผลกระทบ เตือนภัย หากเตือนทันประชาชนสามรถย้ายทรัพย์สินออกได้ก่อน พากลุ่มเปราะบางออกไปได้ก่อนก็สามารถลดผลกระทบได้ สำหรับการเตือนภัยใช้อัตราการไหลของน้ำเป็นตัวแปร ซึ่งมีหลายหน่วยงานที่รับผิดชอบ

ดร.อังกูรกล่าวว่า การติดตั้งเสาวัดระดับน้ำกก ใน 7 หมู่บ้าน จากบ้านแก่งทรายมูล ต.ท่าตอน มาถึงบ้ายโป่งนาคำ อ.เมืองเชียงราย ที่แก่งทรายมูล ระดับน้ำสูงสุด 9.37 เมตร (461.150 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ม.รทก.) ซึ่งความสัมพันธ์ของระดับน้ำและระยะการไหลของน้ำแม่น้ำกก ระหว่างสถานีบ้านร่มไทย ถึงสถานีท่าตอน-แม่อาย ในช่วงน้ำหลากใช้เวลาประมาณ 15 นาที ซึ่งทำอะไรแทบไม่ทันแล้ว เทคนิคที่จะใช้ในการเตือนภัย คือ ความสัมพันธ์ของน้ำฝนกับน้ำท่า เพื่อให้มีเวลาป้องกันภัยได้อย่างน้อย 2 ชม.

ดร.อังกูรกล่าวว่า จากบ้านร่มไทย-แม่นาวาง ท่าตอน ระยะทาง 7.4 กม. น้ำใช้เวลาประมาณ 1.5 ชม. ระดับน้ำ 5-6 เมตร นักวิชาการจะดูน้ำฝนและน้ำท่า ดูอัตราการเพิ่ม มีปัจจัยหลายอย่างทำให้ความไม่แม่นยำเปลี่ยนไป สำหรับกรณีน้ำท่วมเมืองเชียงราย มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินตลอดทำให้ข้อมูลไม่หยุดนิ่ง เป็นปัจจัยที่ทำให้การทำนายการอพยพไม่แม่นยำ ซึ่งจากบ้านร่มไทยน้ำมาถึงเมืองเชียงราย ใช้เวลาประมาณ 18 ชม. เพียงพอที่จะเตือนภัยได้ทัน

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า น้ำท่วมเมืองเชียงรายครั้งล่าสุดเดือนกันยายน 2567 ปริมาณน้ำ ประมาณ 1,550 ลบ.ม/วินาที ที่ฝายเชียงรายออกแบบไว้ 1,250 ลบม./วิ น้ำที่เอ่อขึ้นมาจึงอยู่ที่ 250 ลบ.ม/วิ ใช้เวลาประมาณ 18 ชม ซึ่งการเตือนภัยสากลคือเตือนก่อน 12 ชม.ขึ้นไป สำหรับภาครัฐอาจอยู่ที่ 8 ชม. ซึ่งอาจใช้ไม่ได้กับเมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรมาก

นอกจากนี้ที่ประชุมได้หารือถึงคำถามที่ว่าการทำเหมืองแร่ที่ต้นน้ำในรัฐฉาน มีผลต่อภัยพิบัติน้ำท่วมอย่างไร ซึ่งมีข้อมูลว่าปัจจัยที่ช่วยในการเปลี่ยนกระบวนการน้ำฝนลงมาเป็นน้ำท่าบนต้นน้ำ คือความชันของภูเขา ชนิดดินบนต้นน้ำ ป่าไม่ต้นไม้จะดักน้ำไว้ ซึ่งกิจกรรมเหมืองแร่ที่เกิดขึ้นนั้นทำลายทุกปัจจัยทั้งหมด และยิ่งหนุนปัจจัยที่ทำให้เร่งน้ำฝนกลายเป็นน้ำท่า

นายประเสริฐ กายทวน ชาวบ้านร่มไทย กล่าวว่าชาวบ้านที่ชายแดนพยายามหาความร่วมมือข้ามพรมแดน เชื่อมโยงกับเครือญาติที่เมืองเปียง เพื่อส่งข้อมูลน้ำท่วมจากหมู่บ้านคู่ขนานมายังบ้านร่มไทย

“เราอยู่ต้นน้ำ ที่แม่น้ำกกไหลเข้าประเทศไทย เราต้องหาทางเพื่อทราบข้อมูล และข้อมูลที่เราได้รับนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติไปถึงเมืองเชียงราย” นายประเสริฐ กล่าว