Search

จัดการปัญหา 3 ระดับ ในสถานการณ์สารพิษปนเปื้อนแม่น้ำกก

ผศ.ดร.มาลี สิทธิเกรียงไกร คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ปัญหาเรื่องการปนเปื้อนสารพิษหรือสารเคมีซึ่งมีผลมาจากการทำเหมืองแร่ที่ทางตอนบนของแม่น้ำกก เป็นปัญหาของสารพิษข้ามพรมแดนที่มีผลกระทบต่อกลุ่มชาติพันธุ์และคนที่อยู่ทางตอนล่างของแม่น้ำกก โดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่ในจังหวัดเชียงราย แล้วตามจริงแม่น้ำสายนี้ก็จะไหลผ่านลงไปถึงแม่น้ำโขง และแม่น้ำโขงก็เป็นแม่น้ำสายนานาชาติซึ่งก็จะลงไปสู่ผู้คนอีกจำนวนมาก เพราะฉะนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหาอาจจะต้องมีวิธีการจัดการที่หลากหลายระดับ

ระดับแรก ในระดับข้ามพรมแดน ของการปิดเหมือง อันนี้เป็นข้อเรียกร้องที่หลายภาคส่วนได้เรียกร้องตลอดระยะเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมาว่าให้มีการปิดเหมือง แต่รัฐบาลไทยก็ดำเนินการไปอย่างเชื่องช้า ตรงนี้ก็อาจจะต้องอาศัยแรงผลักดันขององค์กรต่างๆ ทั้งทางฝ่ายภาคประชาชน ฝ่ายองค์กรพัฒนาเอกชนทั้งในและต่างประเทศ หน่วยงานวิชาการ และประเทศต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ เพราะสารเคมีนี้มีผลกระทบที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก

ระดับที่ 2 ในระดับประเทศ ณ ตอนนี้ระดับขนาดของปัญหาในประเทศไทยนั้นยังไม่มีการตรวจวัดและทำความเข้าใจกับปัญหานี้อย่างชัดเจน ว่าสารเคมีที่ปนเปื้อนมันลอยอยู่ในอากาศหรือไม่ หรือมันอยู่ในแม่น้ำ หรืออยู่ทั้งในแม่น้ำและในอากาศ ได้ลอยและพัดปลิวไปไกลแค่ไหน ตอนนี้จุดบริเวณที่ตรวจปริมาณสารพิษ เราก็จะให้ความสำคัญกับบริเวณแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และที่บริเวณจังหวัดเชียงราย หรือบริเวณท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่ น้ำกกที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงทั้งที่แม่สาย แม่น้ำกก และแม่น้ำรวก ก็ไหลลงไปสู่แม่น้ำโขงทั้งสิ้น เรายังไม่รู้ขนาดของปัญหา ซึ่งถ้าปนเปื้อนในแม่น้ำแล้วไหลพัดไปตั้งแต่เดือนเมษายน ณ ขณะนี้มันไปสู่แม่น้ำโขงหรืออยู่ในระดับไหน อันนี้คือขนาดของพื้นที่ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ขนาดไหน 

นอกจากนี้ สารเคมีที่ปนเปื้อนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าตกลงแล้วมีสารอยู่ที่ไหนบ้าง เป็นอย่างไรบ้าง ตรงนี้สร้างข้อวิตกกังวลให้กับชาวบ้านในพื้นที่อย่างมาก จากการที่เราไปพูดคุยกับชาวบ้านเบื้องต้นที่ตำบลท่าตอน ก็พบว่าชาวบ้านอยู่ในภาวะที่ยากลำบากมาก เพราะว่าต้องซื้อน้ำดื่มน้ำกิน บางหมู่บ้านก็ต้องซื้อน้ำมาใช้ในการซักผ้าและในชีวิตประจำวัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐควรจะต้องจัดหาให้กับชาวบ้าน ไม่ใช่ให้ชาวบ้านต้องมาเสียเงินเสียทองตรงนี้

อีกทั้งผลผลิต ณ ตอนนี้ ถ้าบอกว่าปลามาจากแม่น้ำกก หรือผักปลูกมาจากบ้านที่ตำบลท่าตอนก็ไม่มีใครจะอยากรับซื้อ ตรงนี้รัฐไทยควรจะต้องมีภารกิจเร่งด่วน อาจทำงานร่วมกันกับหน่วยงานวิชาการในการเข้าไปตรวจหาปริมาณสารพิษต่างๆ และสร้างความเข้าใจให้กับชาวบ้านอย่างชัดเจน การปฏิเสธว่าไม่มีสารพิษ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าชาวบ้านก็เห็นอยู่ในชีวิตประจำวันว่าแม่น้ำกกมันเปลี่ยนสี และชาวบ้านก็รู้ว่ามันมีการทำเหมืองอยู่ข้างบน เพราะฉะนั้นชาวบ้านใช้ตรรกะง่ายๆ แบบนี้ในการพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำกก ก็ประเมินได้ว่ามันไม่เหมือนเดิม แม่น้ำนี้มันได้กลายเป็นแม่น้ำที่ไม่สามารถพึ่งพิงได้เหมือนดังอดีต

ระดับที่ 3 ชุมชนท้องถิ่นและเครือข่าย   ซึ่งแม่น้ำกกเชื่อมโยงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยเฉพาะแม่น้ำกกบริเวณต.ท่าตอน กลุ่มไทใหญ่บ้านเปียงคำซึ่งอยู่ห่างจากบ้านแก่งทรายมูลเพียง 3 กม. ชาวบ้านเหล่านี้ได้ใช้ทรัพยากรแม่น้ำกก ทั้งเป็นทางสัญจรไปมา ลูกหลานมาเรียนหนังสือ ทำธุระต่าง ๆ และประชาชนทั้งหมดได้พึ่งพิงทรัพยากรจากแม่น้ำทั้งอาบ ดื่ม และเป็นแหล่งอาหาร

แต่ปัจจุบันนี้ ทรัพยากรเหล่านี้ได้กลายเป็นพิษ และอุตสาหกรรมเหมืองแร่ได้เปลี่ยนแม่น้ำกกให้เป็นพื้นที่รองรับสารพิษ  มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจชุมชนอย่างยิ่ง ชาวไทใหญ่ที่อยู่ทางเมืองสาด เมืองยอน ต้องถูกอพยพโยกย้ายไปและแทนที่ด้วยกลุ่มว้า เหล่านี้เป็นปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิของชุมชนท้องถิ่นจึงมีความชอบธรรมที่ชุมชนจะลุกขึ้นมาปกป้องทรัพยากร

กรณีประเทศไทยนั้น ชุมชนมีสิทธิโดยชอบธรรมในการอนุรักษ์ทรัพยากรท้องถิ่นเป็นสิทธิของชุมชน ทางออกต่อกรณีนี้คือ ต้องเสริมพลังให้ชาวบ้านมีความมั่นใจต่อการยืนยันสิทธิชุมชน และประสานกันเป็นเครือข่ายกับหน่วยภาคประชาสังคม เพราะจากประสบการณ์การปนเปื้อนสารพิษในสิ่งแวดล้อม

กรณีประเทศไทยนั้นพบว่า เราไม่สามารถนิ่งนอนใจให้ภาครัฐจัดการเพียงลำพัง ภาคประชาสังคมควรร่วมมือกัน ดังเช่นการจัดกิจกรรมในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ภาคประชาสังคมจะสามารถทำได้ส่วนหนึ่ง และจำเป็นต้องผนึกกำลังและสร้างเครือข่ายภาคประชาชนให้มีความเข้มแข็ง มีข้อมูลความเสียหาย เพื่อนำไปสู่ประจักษ์พยานการยุติเหมือง

———-