คนพเนจร บ่าวสาวละวิน
1. ที่นี่แม่ละ บ้านหลังแรกของฉัน
หลังคาบ้านทุกหลังทำจากใบตองตึง ผนังบ้านกั้นด้วยไม้ไผ่ บ้านทุกหลังยกสูงจากพื้นดินอยู่ห่างจากค่ายราว 10 กิโลเมตร ที่นี่ล้อมรอบด้วยภูเขา มีลำธารเล็กๆ ไหลผ่านค่าย ชาวบ้านมีพื้นที่เล็กๆ สำหรับเพาะปลูกสวนครัวไว้กิน และขายบ้างตามฤดูกาล
ฉันเกิดในค่ายแห่งนี้ซึ่งอยู่ชายแดนฝั่งประเทศไทย ครอบครัวฉันเดิมทีมาจากรัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา แต่สงครามกลางเมืองทำให้ครอบครัวของเราต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย สถานที่แห่งนี้ได้เก็บเกี่ยวความทรงจำในชีวิตฉันไว้มากมาย ในวัยเด็กของฉัน มันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คราบน้ำตา รวมถึงความฝัน
ฉันเติบโตในค่ายแห่งนี้จนอายุ 5 ขวบ ที่นี่เป็นทั้งบ้านและครอบครัว ถึงฉันเกิดในค่ายผู้ลี้ภัยแต่ก็ได้สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและมิตรภาพของผู้คนในค่าย พวกเราต่างมีชะตาชีวิตที่เหมือนกัน ฉันและพวกเขาต่างต้องการอิสรภาพในชีวิต
ตอนเด็กๆ ฉันมีเพื่อนที่สนิทไม่กี่คน ชีวิตในตอนนั้นเหมือนเด็กๆทั่วไป เราวิ่งเล่น เราหัวเราะ เราแทบไม่รู้ด้วยซ้ำ ถึงเรื่องราวของผู้คนที่นี่ ว่าต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
ฉันมีน้าคนหนึ่ง เขาใจดีกับฉันมาก ทุกๆวัน ฉันจะช่วยน้าขายผักแต่ว่าบางครั้งฉันต้องขายผักคนเดียว เพราะน้ามีธุระมากมายที่ต้องการจัด น้าชอบดุฉัน เวลากินข้าวไม่หมดจาน
“เธอต้องกินข้าวให้หมดจานนะ” เสียงเข้มของน้าบางครั้งทำให้ฉันถึงกับร้องไห้ น้าย้ำกับฉันเสมอว่า “ในค่ายผู้ลี้ภัย เรามีอาหารจำกัด อาหารทุกมื้อมีความสำคัญมาก อย่ากินทิ้งกินขว้าง”
สำหรับฉันแล้ว 5 ปีในค่ายผู้ลี้ภัยทำให้เข้าใจ ความทุกข์ยากลำบากของผู้ลี้ภัย เราทุกคนในค่ายแห่งนี้ ต่างรอคอยสันติและอิสรภาพที่จะทวงคืนบ้านเกิดเราสักวันหนึ่ง ฉันเชื่อเสมอ ว่าจะมีวันนั้น
2. 21,882 กม.จากค่ายสู่แผ่นดินลุงแซม
ก่อนที่ชีวิตฉันจะพลิกผันกับการได้รับโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศสหรัฐอเมริกา พวกเราทุกคนที่อยู่ในค่ายโดยไม่เคยรับรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกเลย อาจเพราะเทคโนโลยีหรือการติดต่อสื่อสารที่ยังไม่พัฒนาเท่ากับปัจจุบัน ฉันรู้แค่เพียงว่าสถานที่ ทีฉันอาศัยคือบ้านซึ่งเป็นปลอดภัยให้กับฉันและครอบครัว กฎของค่ายคือทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกพื้นที่ เพราะพวกเราไม่ใช่พลเมืองของประเทศไทย เราทุกคนในค่ายไม่มีบัตรประชาชน
การเข้ามาทำงานของ UNHCR (สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ) ทำให้หลายครอบครัวมีโอกาสย้ายไปประเทศที่ 3 หนึ่งในนั้นคือครอบครัวของฉัน
เราได้รับโอกาสลี้ภัยไปสู่สหรัฐอเมริกา ฉันจำได้แม่นตอนออกจากค่ายครั้งแรก ฉันไม่เคยเห็น อาคารและตึกที่ใหญ่มโหฬารเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งสนามบิน ฉันก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นเดียวกัน ฉันรู้สึกกลัวและตื่นเต้นไปกับสภาพแวดล้อมใหม่

ทุกอย่างรอบตัวฉันดูเป็นสิ่งใหม่ทั้งหมด ความรู้สึกหนึ่งที่ทำให้ฉันเศร้านิดๆคือถึงเวลาที่เราต้องจากบ้านหลังเก่าเพื่อเริ่มต้นใหม่ในบ้านหลังใหม่ ทำให้รู้สึกวังเวงใจอย่างไรพิกล
ฉันเริ่มต้นชีวิตผู้ลี้ภัยในประเทศสหรัฐฯ โดยช่วงแรกฉันและครอบครัวต้องปรับตัวหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ภาษา การสื่อสาร รวมถึงเรื่องวัฒนธรรม
ฉันและครอบครัวมีความท้าทายมากมายบนแผ่นดินที่ฉันไม่เคยรู้จัก ฉันเหมือนนักเดินทางออกสำรวจโลกอันกว้างใหญ่และยอมแพ้ไม่ได้เมื่อโอกาสมาถึงแล้วก็ต้องรีบคว้าเอาไว้
สังคมคนอเมริกันทำให้ฉันเข้าใจความหลากหลายของผู้คน ทั้งเรื่องความคิด การใช้ชีวิต การศึกษา และอื่นๆอีกมากมาย สิ่งที่ยังต้องเดินหน้าเรียนรู้มากเหลือเกิน ชีวิตในแผ่นดินประเทศแห่งเสรีภาพแห่งนี้คือ ใบเบิกทางของฉันสู่เป้าหมายใหม่ในชีวิต
3.บ้านหลังใหม่และโลกกว้างใหญ่
ช่วงแรกฉันและครอบครัวอาศัยอยู่ในรัฐมิชิแกน พวกเราต้องปรับตัวหลายเรื่อง แต่สำหรับฉันแล้ว ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไรเพราะยังเด็กจึงไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนัก แต่การเผชิญกับปัญหาสังคมในอเมริกัน เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการเหยียดเชื้อชาติและการเลือกปฏิบัติ ซึ่งต่างจากค่ายผู้ลี้ภัยที่ฉันเคยอยู่
ในค่ายปัญหาส่วนใหญ่คือทรัพยากรและโอกาสที่มีอยู่จำกัด แต่ในสหรัฐอเมริกามีโอกาสมากมาย จนบางครั้งฉันรู้สึกว่าประเทศนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อคนอย่างฉัน ต่อมาฉันและครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ที่รัฐเทนเนสซีซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาวและมีแนวคิดอนุรักษ์นิยม แต่ฉันโชคดีที่มีครอบครัวปกาเกอะญอบางส่วนอาศัยอยู่ ทำให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยวนัก
ตอนอยู่ในโรงเรียนประถม ฉันยังไม่เห็นปัญหามากนักเพราะยังเด็กและไร้เดียงสา แต่เมื่อโตขึ้นและเข้าโรงเรียนมัธยม ฉันเริ่มสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว เช่น เมื่อฉันหรือเด็กเอเชียคนอื่นๆ นำอาหารชาติพันธุ์ไปโรงเรียน เราจะเผชิญกับการก้าวล่วงที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องตลก
“นั่นคืออะไร” , “คุณกินแมวหรือสุนัขไหม” , “นั่นเหม็นและน่าขยะแขยง” ทั้งคำถามและการล้อเลียนมีให้ได้ยินอยู่เสมอสะท้อนอคติที่พวกเขามีต่อคนเอเชีย ไม่เพียงแค่เพื่อนๆนักเรียนเท่านั้น แม้แต่ครูบางคนก็ยังตอกย้ำอคติเหล่านี้ด้วย
อีกเหตุการณ์หนึ่งตอนเรียนมัธยมซึ่งในช่วงต้นของการแพร่ระบาดของโควิด ครูที่เป็นโค้ชฟุตบอลโพสต์ข้อความเชิงเหยียดเชื้อชาติบนทวิตเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับอาหารจีน ฉันจึงออกมาพูดต่อต้าน แต่กลับถูกนักเรียนบางคนกล่าวว่า “คุณรับมุกไม่ได้” ซึ่งผู้บริหารโรงเรียนไม่ได้ดำเนินการอะไร นอกจากให้เขาลบโพสต์ เหตุการณ์แสดงให้เห็นว่าการเหยียดเชื้อชาติยังเป็นเรื่องปกติในสังคมและสถาบันการศึกษาที่มักไม่จัดการกับปัญหาเหล่านี้อย่างเหมาะสม
ฉันคิดว่าฉันเลือกเพื่อนที่ดี มีทั้งกลุ่มเพื่อนชาวปกาเกอะญอ และไม่ใช่ปกาเกอะญอ โดยรวมแล้วชีวิตของฉันในโรงเรียนค่อนข้างดี ช่วงเรียนมัธยมฉันตั้งใจเรียนหนักมากเพื่อที่จะเข้าสอบมหาวิทยาลัยให้ได้
การอยู่ในสังคมอเมริกันไม่ได้ง่ายเลย เพระคนอเมริกันจำนวนไม่น้อยยังมองผู้ลี้ภัยเป็นภาระในสังคม แน่นอนฉันยอมแพ้ไม่ได้ แม้หลายครั้งจะถูกด้อยค่าก็ตาม เพื่อเป้าหมายโชคชะตาและความฝัน ฉันคงไม่หยุดเพียงเพราะให้คนที่ไม่รู้จักเรามาตัดสิน
4. อย่าหยุดฝัน
การเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศแห่งนี้ไม่ง่ายเลย การมาจากพื้นที่ต่างวัฒนธรรม ต่างภาษา ต่างความคิด เป็นสิ่งที่ท้าทายต่อฉันไม่น้อย ใช่ฉันเป็นคนกะเหรี่ยง เป็นผู้ลี้ภัย ย่อมมีอุปสรรคมากมายขวางกั้นเส้นทางสู่ความสำเร็จ
ระบบการศึกษาที่นี่ ทำให้ฉันมองเห็นสถานะของคนในสังคมได้อย่างชัดเจน คนรวยและคนจนต่างได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกัน ช่วงที่เข้าสอบมหาวิทยาลัย กระบวนการคัดเลือกแข่งขันกันสูงมาก ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพลองนึกถึง The Hunger Game หรือ เกมส์ล่าชีวิต คนที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อยต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้รับโอกาสเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างสแตนฟอร์ดหรือฮาร์วาร์ด ในขณะที่คนรวยได้รับสิ่งเหล่านี้มาโดยง่าย
ความเป็นผู้ลี้ภัย ทำให้ฉันไม่ก้มหัวยอมแพ้ต่อโชคชะตา ช่วงมัธยมต้นและต้นมัธยมปลาย ฉันเคยอยากเป็นทนายเพราะชอบการโต้เถียง ฉันคิดว่าอาชีพนี้จะทำให้ช่วยเหลือผู้อื่นได้ อีกทั้งยังเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับและมีรายได้ดี แต่เมื่อฉันเริ่มคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับอนาคต ฉันกลับมีความกังวลเกี่ยวกับศีลธรรมของอาชีพนี้ โดยเฉพาะเมื่อต้องปกป้องคนที่อาจกระทำความผิด ทำให้พวกเขาหลุดพ้นเพราะช่องโหว่ทางกฎหมาย นอกจากนี้ฉันยังได้ยินเกี่ยวกับการทุจริตในระบบยุติธรรมด้วย ทำให้ฉันไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของมัน ฉันจึงละทิ้งความฝันนี้ไป
ฉันหันมาสนใจงานด้านการทูต เพราะฉันอยากเดินทางไปทั่วโลก อยากร่วมกับองค์กรนานาชาติช่วยเหลือปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ฉันอยากมีส่วนช่วยเหลือสังคม อาจเป็นเพราะฉันลึกๆแล้ว ฉันต้องการชีวิตใหม่ มีผู้คนมากมายที่เคยอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย พวกเขาคาดหวังที่จะออกจาก หลายคนต้องการตั้งรกรากใหม่ในประเทศอื่น แต่ว่าไม่ง่าย แต่มันเหมือนกับคุณซื้อลอตเตอรี่ ทุกคนหวังอยากถูกรางวัลที่ 1 หากแต่ความเป็นจริง มีเพียงไม่กี่คนที่โชคดีได้รับโอกาสนั้น
สำหรับพ่อแม่ฉัน ความหวังคือการเลี้ยงดูลูกทุกคนในครอบครัวให้มีชีวิตที่ดีขึ้น พวกเขายอมเสียสละอย่างมากเพื่อให้ลูก ๆ ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น พ่อแม่ของฉันเคยเป็นหมอเมื่อครั้งยังอยู่ในรัฐกะเหรี่ยงรวมถึงตอนอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย แต่ด้วยสงคราม ทำให้พ่อและแม่ต้องทิ้งอาชีพนี้
อีกความหวังหนึ่งของชาวกะเหรี่ยงทุกคนคือการได้กลับบ้านในแผ่นดิน Kawthoolei เราหวังในสิ่งที่เรียบง่ายมาก คือการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขโดยไม่ต้องกังวลเรื่องสงคราม
ฉันเป็นคนที่คิดใหญ่ แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมาย แต่ฉันคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ คงต้องพยายามต่อไป เพราะหากล้มเลิก ฉันคงจะไม่มีวันไปถึงเป้าหมายแน่นอน
5.แด่คนไม่ยอมแพ้และน้ำตาเห็นความปิติ
เราต่างรู้ว่ามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ กว่าที่ฉันจะสอบเข้าได้ไม่ง่ายเลย การเป็นผู้ลี้ภัยทำให้ฉันต้องเรียนหนัก ทำงานหนัก ฉันตั้งใจสอบเป็นอย่างมากเพื่อเป้าหมายในการเลือกเข้าสอบ มหาลัยแห่งนี้
ฉันคิดว่าสามารถสร้างพื้นที่ในการแสดงอัตลักษณ์ของตัวได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีการขัดขวาง หรือถูกตั้งคำถาม ที่นี่ไม่มีการแบ่งแยก เราต่างเท่าเทียมกัน มีเสรีภาพในเรื่องการแสดงความคิดเห็น ฉันจึงตัดสินใจเลือกที่นี่
วันนี้ฉันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดซึ่งเป็นที่รับการยอมรับว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกาและนานาชาติ ในฐานะผู้ลี้ภัย ฉันอยากถ่ายทอดแรงบันดาลใจนี้แด่ทุกคนที่มีฝัน รวมทั้งทุกคนที่กำลังตามหามัน
อย่ายอมแพ้เพียงเพราะคุณมาจากสังคมที่ไม่เอื้อแก่ชีวิตคุณ อย่ายอมแพ้เพราะฉันเป็นแบบโน้น แบบนี้ เชื่อเถอะ หากคุณลงมือทำ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันยาก ความท้าทายและอุปสรรคจะทำให้ค้นพบตัวเอง และเมื่อนั้นโอกาสจะมาถึงคนที่ตามหาโอกาส
—————
หมายเหตุ– คนพเนจร บ่าวสาวละวิน เป็นนามปากกาของ ณรงค์เดช ชวนชื่นชม ครูอาสาชายแดนสาละวินที่สัมภาษณ์และเรียบเรียงเรื่องราวของอดีตสมาชิกในค่ายผู้ลี้ภัยแห่งหนึ่งบริเวณชายแดนไทยที่ย้ายไปอยู่อเมริกา เพื่อถ่ายทอดแรงบันดาลใจให้เยาวชนปกาเกอะญอ เนื่องในวันผู้ลี้ภัยสากลประจำปี 2568







