เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2568 ที่โรงแรมโฮเทลมุก อ.เมือง จ.มุกดาหาร ได้มีการประชุมเครือข่ายชุมชน 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง โดยมีตัวแทนชาวบ้านจาก เชียงราย เลย บึงกาฬ หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี นักวิชาการ และผู้แทนองค์กรที่ติดตามปัญหาแม่น้ำโขง ประมาณ 100 คนเข้าร่วมหารือเพื่อระดมความคิดเห็นถึงสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขงในการเตรียมจัดทำแผนการทำงานร่วมกันของเครือข่าย โดยในช่วงเช้ามีการแบ่งกลุ่มตามพื้นที่นิเวศ เพื่อทบทวนสถานการณ์จากพื้นที่ต่าง ๆ ก่อนมีการนำเสนอข้อมูลและแลกเปลี่ยนกันในที่ประชุม
นายชาญณรงค์ วงศ์ลา ตัวแทนชาวบ้านจาก อ.เชียงคาน จ.เลย กล่าวว่า ในพื้นที่ อ.เชียงคาน ได้รับผลกระทบจากระดับแม่น้ำโขงที่ขึ้นลงผิดปกติ ส่งผลกระทบต่อร่องน้ำโขงที่เป็นแนวพรมแดนไทย-ลาวเปลี่ยนแปลง ระดับน้ำที่เปลี่ยนแปลงเร็วและกระแสน้ำที่แรงขึ้นทำให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรง สันดอนทรายและบุ่งหรือแอ่งน้ำริมน้ำถูกกระแสน้ำพัดหายไป ตะกอนที่มากับน้ำทับถมให้ต้นไคร้ที่เป็นแหล่งวางไข่ของปลาหายไปมากกว่า 70% พันธุ์ปลาลดลงอย่างมาก เช่น ปลาเพี้ยจับได้ลดลงเหลือ 20% นอกจากนี้มีการเคลื่อนไหวของมีบริษัทผู้รับเหมาสร้างเขื่อนเข้ามาเจาะชั้นดิน และเก็บตัวอย่างพันธุ์ปลาในพื้นที่ โดยชุมชนพยายามทำพื้นที่อนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไคร้
นายสมาน แก้วพวง ตัวแทนชาวบ้าน จ.หนองคาย กล่าวว่า ผลกระทบระบบนิเวศแม่น้ำโขงมีความรุนแรงเห็นชัดตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ระดับน้ำที่ขึ้นลงผิดปกติทำให้ที่ดินชาวบ้านที่มีโฉนดหายไปจำนวนมาก เฉพาะที่ชุมชนตนเองหายไป 6-7 ไร่ เครื่องมือประมงพื้นบ้าน เช่น ลวง มอง ถูกกระแสน้ำเชี่ยวทำให้เสียหาย ชาวบ้านต้องปรับเปลี่ยนวิถีหากิน เนื่องจากพันธุ์ปลาลดลงอย่างมาก ปลาบางชนิดหายไป หอย กุ้งแทบหาไม่ได้เลย รายได้ของชาวประมงลดลงจากปีละ 2-3 แสนบาท เหลือเพียงปีละ 5 พันบาท อาชีพร่อนทองทำได้ไม่เต็มที่เพราะน้ำขึ้นลงเร็ว
นายอำนาจ ไตรจักร ตัวแทนชาวบ้าน จ.นครพนม กล่าว่า นอกจากผลกระทบจากเขื่อนบนแม่โขงแล้ว ในพื้นที่ยังมีผลกระทบซ้ำเติมจากการดูดทรายในพื้นที่ อ.ท่าอุเทน และ อ.ธาตุพนม รวมถึงการดูดทรายในฝั่งลาว ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำท่วมหน้าแล้ง น้ำแห้งหน้าฝน ส่งผลต่อแม่น้ำสงครามที่เป็นลำน้ำสาขา ที่อาศัยปริมาณน้ำจากแม่น้ำโขง เมื่อไม่มีน้ำจากแม่น้ำโขงเข้าไปเติม ทำให้ลำน้ำเต็มไปด้วยจอกแหน จนไม่สามารถยกยอได้ ชาวบ้านโดยมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือหายนะของแม่น้ำโขง ซึ่งชุมชนริมน้ำโขงได้พยายามทำเขตรักษาพันธุ์ปลา และศูนย์เรียนรู้ชุมชนและระบบนิเวศแม่น้ำโขง
นายสุรสิงห์ ธนันทา ตัวแทนชาวบ้าน จ.อำนาจเจริญ กล่าวว่า สถานการณ์ชุมชนหลังมีเขื่อนบนแม่น้ำโขง ส่งผลกระทบต่อวิถีชุมชนอย่างมาก ชาวบ้านที่เคยทำประมงต้องเอาเรือขึ้นฝั่งแล้วเข้าเมืองไปหางานทำ ปัจจุบันเหลือชาวบ้านทำประมงเพียง 7-8 ครอบครับ เนื่องจากกระแสน้ำขึ้นลงผิดปกติ พันธุ์ปลาไม่มีโอกาสขึ้นไปวางไข่ที่ต้นน้ำ ส่วนต้นไคร้ ต้นหว้าที่เป็นแหล่งวางไข่ของพันธุ์สัตว์น้ำต้องถูกน้ำท่วมหรือแห้งตาย กระแสน้ำกัดเซาะเกาะกลางน้ำและชายฝั่งพังทลาย
นางสมปอง เวียงจันทร์ จากอุบลราชธานีกล่าวว่า ชาวบ้านริมฝั่งแม่น้ำโขงและปากแม่น้ำมูลหาปลาลำบากมาก นอกจากกระแสน้ำที่เปลี่ยนแปลงแล้ว ชุมชนฝั่งลาวมีการช็อตปลา และบางส่วนลักลอบเข้ามาช็อตปลาในฝั่งไทยด้วย ทำให้พันธุ์ปลาเป็นหมัน จากเดิมที่เคยมีชาวบ้านทำประมงกว่า 100 ครอบครัว ตอนนี้เหลือเพียง 10-20 ครอบครัวเท่านั้น ชุมชนต้องสูญเสียรายได้จนต้องออกไปหางานที่ต่างจังหวัด ขณะที่เกษตรริมโขงได้รับผลกระทบจากการระดับน้ำโขงขึ้นลงผิดปกติ หน้าแล้งทำเกษตรได้เพียงครึ่งพื้นที่จากเดิม และบางครั้งน้ำขึ้นสูงทันทีทำให้ท่วมแปลงเกษตรเสียหายทั้งหมด
นายอานัน ทวีสุข ตัวแทนชาวบ้าน จ.มุกดาหาร กล่าวว่า สิ่งที่เห็นได้ชัดจากผลกระทบบนแม่น้ำโขงคือ ระดับน้ำโขงที่ขึ้นลงรุนแรง ทำให้แมลงและหนอนหายไปจากทรายในแม่น้ำ นั่นคือแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์น้ำหายไป ชาวบ้านประมงจึงต้องเลิกอาชีพจับปลา
นางปิยนันท์ จิตต์แจ้ง จาก จ.เชียงรายกล่าวว่า สถานการณ์ในปีที่ผ่านมา จ.เชียงราย เกิดปรากฏการณ์ Rain Bomb ที่ฝนตกหนักอย่างรุนแรง 4 รอบ ทำให้เกิดอุทกภัยใหญ่ ประกอบกับแม่น้ำโขงมีระดับน้ำสูง ทำให้น้ำจากลำน้ำสาขาไม่สามารถระบายออกสู่แม่น้ำโขงได้ จนเกิดน้ำหลากและน้ำท่วมรุนแรง ขณะที่ปีนี้แม่น้ำสายและแม่น้ำกกที่เป็นต้นน้ำที่ไหลลงแม่น้ำโขง พบการปนเปื้อนของสารหนูและสารโลหะหนักจากการทำเหมืองแร่ในพม่า และกำลังส่งผลให้มีการปนเปื้อนพิษสู่ห่วงโซ่อาหารของคนเชียงราย นอกจากนี้ยังมีความกังวลต่อโครงการเขื่อนปากแบง ที่จะส่งผลกระทบข้ามพรมแดนมายัง อ.เชียงของ และ อ.เชียงแสน ที่เป็นพื้นที่เหนือเขื่อน
นายมนตรี จันทวงศ์ ผู้ประสานงานกลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง The Mekong Butterfly กล่าวว่า จากการเก็บข้อมูลตะกอนแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ พบว่า ช่วงเดือน ม.ค. – มี.ค. ฤดูแล้งที่ปกติน้ำในแม่น้ำโขงจะใส แต่ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาพบว่า น้ำในแม่น้ำโขงมีความขุ่นมากขึ้น 2 เท่า ส่งผลให้แม่น้ำโขงตอนล่างมีความขุ่นมากขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งยังคงเป็นคำถามว่าความขุ่นที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลจากการทำเหมืองในแม่น้ำกก และแม่น้ำสายที่ไหลสู่แม่น้ำโขงหรือไม่
นายมนตรี กล่าวว่าอีกว่า ขณะที่ระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่มีการเก็บข้อมูลมายาวนาน พบการขึ้นลงของระดับน้ำผิดปกติอย่างชัดเจน เกิดจากการปล่อยน้ำของเขื่อนในจีน ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตท้ายน้ำถูกทำลาย โดยในปีที่ผ่านมามีผลระทบชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากตั้งแต่กลาง ก.พ. – เม.ย. เขื่อนจีนปล่อยน้ำทำให้น้ำโขงเพิ่มระดับสูง ท่วมพื้นที่หาดทรายและโขดหินที่เป็นแหล่งวางไข่ของนกแม่น้ำโขงถึง 70-80% ทำลายวัฏจักรและนิเวศของสิ่งมีชีวิต พันธุ์ปลาและพันธุ์พืชมีอัตราการรอดลดน้อยลง
ขณะที่ในชาวบ่ายมีการนำเสนอข้อมูลสถานการณ์เขื่อนแม่น้ำโขง ประเด็นค่าไฟฟ้าและแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย(PDP) และประเด็นการร้องเรียนผลกระทบจากพื้นที่ รวมถึงตัวแทนจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาตินำเสนอความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีเขื่อนแม่น้ำโขง และโครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูล เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมการทำงานของเครือข่ายฯ
ทั้งนี้ในวันพรุ่งนี้(30 มิ.ย.) จะมีการจัดเวทีสาธารณะ “จากเขื่อนปากแบงถึงเขื่อนพูงอย: การตรวจสอบขององค์กรอิสระ และผลกระทบข้ามพรมแดน ที่ห้องประชุม โรงแรมโฮเทลมุก โดยมีผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นักวิชาการ และองค์กรที่ติดตามปัญหาแม่น้ำโขงร่วมเสวนา”
————-