Search

ศึกชิง “แรร์เอิร์ท” แร่ธาตุแห่งความมั่งคั่ง-ได้เปรียบในสงคราม “พม่า”

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 สำนักข่าว SHAN (Shan Herald Agency for News) สื่อของชุมชนไทใหญ่ได้เผยแพร่บทความภาษาอังกฤษ RARE EARTH ELEMENTS EXTRACTIONS: Kachin, Shan states and resources allocation (การสกัดแร่แรร์เอิร์ทในรัฐคะฉิ่น รัฐฉาน และการจัดสรรทรัพยากร) เขียนโดยจายวันใส (Sai Wansai) มีเนื้อหาว่า สถานการณ์ทางการเมืองในพม่ากำลังชี้ชัดมากขึ้นว่าไม่ใช่เพียงการต่อสู้ระหว่างกลุ่มประชาธิปไตยชาติพันธุ์กับเผด็จการทหารเท่านั้น แต่ยังเป็นการแข่งขันอันโหดร้ายเพื่อควบคุมและจัดสรรทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสกัดแร่หายาก (Rare Earth Elements – REEs) และแร่ธาตุอื่น ๆ

รัฐคะฉิ่น (Kachin state) เป็นพื้นที่แรกที่มีการสกัดเอาทรัพยากรนี้ ตามมาด้วยรัฐฉาน (Shan state) ซึ่งได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน

เมื่อเดือนตุลาคม 2567 กองกำลังคะฉิ่นอิสระ (Kachin Independence Army หรือ KIA) ได้เข้ายึดครองเขตพิเศษที่1 (Special Region 1) ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางแร่แรร์เอิร์ทภายใต้การควบคุมของกองกำลังคะฉิ่นประชาธิปไตยใหม่ (New Democratic Army Kachin หรือ NDA-K) ที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลทหารพม่า โดยขณะนี้สภาทหารบ้านของพม่า (Myanmar military council) กำลังพยายามโจมตีเพื่อยึดคืนพื้นที่ รวมถึงศูนย์หยกในเขตผากั้น อินดอจี  และเขตบะหม่อ โดยพ พ.อ.นอบู โฆษกของกองกำลัง KIA ให้สัมภาษณ์ว่าบริบทของสงครามในพม่าในเวลานี้คือการแข่งขันเพื่อควบคุมทรัพยากร

สำนักข่าว SHAN ได้อ้างรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ วันที่ 12 มิถุนายน 2568 ซึ่งระบุว่า การเข้าถึงแหล่งแร่แรร์เอิร์ทใหม่ของจีนได้ถูกจำกัดลง หลังจากเขตเหมืองขนาดใหญ่ในภาคเหนือของพม่าถูกกองกำลังคะฉิ่น KIA เข้ายึดครอง แม้กองกำลังคะฉิ่น KIA จะอนุญาตให้ส่งออกแร่ที่มีอยู่ไปยังจีนได้ แต่การกลับมาดำเนินการเต็มกำลัง จำเป็นต้องมีข้อตกลงกับจีน ซึ่งยังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้

รายงานของสติมสัน Stimson Center ระบุว่า ในเดือนตุลาคม 2567 กองกำลังคะฉิ่น KIA ได้เข้าควบคุมเมืองชิบเปว และปางวา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของแร่แรร์เอิร์ทหนัก (heavy rare earth elements) ที่มีมูลค่าสูงระดับโลก โดยเฉพาะแร่ dysprosium และ terbium ที่จำเป็นสำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม และระบบอาวุธขั้นสูง จีนจึงตอบโต้โดยปิดด่านพรมแดนตามแนวมณฑลยูนนาน และหยุดการขนส่งแร่แรร์เอิร์ทจากพม่า

กองกำลังคะฉิ่น KIA ไม่เพียงได้รับรายได้เท่านั้น แต่ยังได้อำนาจต่อรอง โดยที่ปริมาณการส่งออกอยู่ในระดับใกล้เคียงปี 2023 และมีการตกลงราคาที่ 35,000 หยวนต่อตัน (หรือประมาณ 158,000 บาท/ตัน) ทำให้กองกำลังคะฉิ่น KIA สามารถสร้างรายได้เกินกว่า 200 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งมากกว่างบประมาณประจำปีของรัฐเล็ก ๆ หลายแห่ง โดยเริ่มมีการหารือเบื้องต้นเกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงใหม่ ซึ่งไม่ได้เน้นเรื่องอำนาจทางการเมืองหรือระบบสหพันธรัฐ แต่เน้นที่การค้า การจัดเก็บภาษี และการควบคุมเหมือง อย่างไรก็ตาม สำหรับหลายกลุ่มชาติพันธุ์ การควบคุมทรัพยากรถือเป็นหัวใจของวิสัยทัศน์สหพันธรัฐ ไม่ใช่แค่ผลพลอยได้

บริษัทเหมืองจีนกำลังเริ่มเปิดแหล่งขุดแร่ 2 แห่ง ระหว่างเมืองสาดและเมืองยอง ซึ่งยืนยันโดยรายงานของมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation หรือ SHRF) ขณะที่พื้นที่เมืองป๊อก ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองปางซาง เมืองหลวงของกองกำลังสหรัฐว้า (United Wa State Army- UWSA) ได้กลายเป็นศูนย์กลางการสกัดแร่แรร์เอิร์ท ตั้งแต่ปี 2015

ดูเหมือนว่าบริษัทจีนกำลังเร่งขยายการสกัดแร่แรร์เอิร์ทในเขตของกองกำลังว้า UWSA ซึ่งถือเป็นกลุ่มตัวแทนของจีน สื่อบางแห่งเริ่มเปรียบเทียบกองกำลังว้า UWSA ว่าเป็นเหมือนกลุ่มทหารรับจ้าง Wagner ที่จีนใช้เป็นผู้แทนเพื่อแสวงหาทรัพยากร

การทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉาน- จากรายงานของสำนักข่าวไทใหญ่ SHAN วันที่ 24 มิถุนายน มีการขยายตัวของเหมืองแร่หายากจาก 3 แห่งเมื่อ 10 ปีก่อน เป็น 26 แห่ง ตามแนวเขาทางตอนใต้ของเมืองป๊อก

จายหอแสง โฆษกของมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ กล่าวว่าการขยายเหมืองแร่เหล่านี้รวดเร็วขึ้นหลังรัฐประหารปี 2021 เนื่องจากพื้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังว้า UWSA การทำเหมืองจึงไม่มีการตรวจสอบใดๆ เหมือง 3 แห่งที่ใกล้ชายแดนจีน–พม่า อยู่ห่างจากตัวเมืองป๊อกเพียง 3-4 กิโลเมตรเท่านั้น

มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ระบุว่า เหมืองในเมืองป๊อกไม่ได้อยู่ในรายชื่ออย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2021 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นข้อตกลงระหว่างกองกำลังว้า UWSA กับจีน โดยไม่ผ่านการรับรองจากสภาบริหารแห่งรัฐพม่า (State Administrative Council-SAC)

“บริษัทจีนได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองในพื้นที่ของว้า UWSA โดยไม่ได้รับการอนุมัติจากเนปิดอว์ และแร่เหล่านี้น่าจะถูกส่งออกข้ามแดนตรงไปยังจีน” จายหอแสงกล่าว และว่าอย่างไรก็ตามยังไม่สามารถระบุชื่อบริษัทที่เกี่ยวข้องได้

ในพื้นที่เมืองยอง เขตเมืองสาด ใกล้ชายแดนไทย-พม่า ตรงข้าม ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของว้า UWSA เช่นกัน มีการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทอย่างน้อย 2 แห่ง โดยอยู่ห่างจากชายแดนเชียงใหม่ประมาณ 25 กม. อย่างไรก็ตาม การส่งออกแร่จากเมืองยอง ต้องขนส่งผ่านด่านที่ควบคุมโดย SAC ซึ่งหมายความว่ากองทัพพม่าอาจได้รับผลประโยชน์จากการทำเหมืองเหล่านี้ด้วย

เทคนิคที่ใช้ในการทำแร่แบบ “in situ leaching” คือการฉีดสารเคมีลงใต้ดินเพื่อแยกแร่ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้แล้วในรัฐคะฉิ่น และถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นอันตรายต่อแหล่งน้ำผิวดินและใต้ดิน ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

เมืองป๊อก ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำสายหลักสองสายคือ แม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำโขง น้ำเสียจากเหมืองไหลลงแม่น้ำสาละวินผ่านแม่น้ำข่า และไหลลงแม่น้ำโขงผ่านแม่น้ำหลวย ซึ่งหมายความว่าแผ่นดินจีนไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ชุมชนปลายน้ำในรัฐฉานต่างกำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้านสุขภาพอย่างรุนแรงของชาวบ้านในพื้นที่

จากข้อมูลของ Statista การผลิตแร่แรร์เอิร์ท ของพม่าในปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 31,000 เมตริกตัน ทำให้พม่ากลายเป็นผู้ผลิตอันดับ 3 ของโลกรองจากจีนและสหรัฐฯ

รายงานของสถาบันยุทธศาสตร์และนโยบาย Institute for Strategy and Policy – Myanmar (ISP-Myanmar) ระบุว่าช่วง 8 ปี (2017-2024) พม่ากลายเป็นแหล่งแร่แรร์เอิร์ทภายนอกหลักของจีน มีมูลค่าส่งออกเกิน 4 พันล้านดอลลาร์ หลังรัฐประหารในปี 2021 การส่งออกแรร์เอิร์ท เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมูลค่าการส่งออกช่วงปี 2021-2024 สูงถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 84% ของยอดส่งออกรวมช่วง 8 ปี โดยปีที่สูงสุดคือ 2023 ที่มีมูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเกิดจากการขยายเหมืองในพื้นที่ขัดแย้ง โดยเฉพาะในรัฐคะฉิ่น การทำเหมืองในรัฐคะฉิ่นแสดงให้เห็นว่าความไม่มั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมมักมาคู่กัน จำเป็นต้องมีแนวทางการทำเหมืองที่รับผิดชอบ โปร่งใส และมีส่วนร่วมของชุมชน

ในข้อเสนอแนะของ ISP ระบุว่าการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทหายากในรัฐคะฉิ่นได้สร้าง ‘เศรษฐกิจความขัดแย้ง’ ที่กลุ่มติดอาวุธได้รับผลประโยชน์อย่างมาก ทำให้พื้นที่ถูกทหารควบคุมมากขึ้น ระบบพลเรือนอ่อนแอลง และรายได้จากทรัพยากรถูกเบี่ยงเบนไปจากประโยชน์สาธารณะ ควรมีนโยบายเพื่อลดอำนาจทหารในการจัดการทรัพยากร และสร้างกลไกตรวจสอบจากชุมชน เพื่อป้องกันการลุกลามของปัญหาข้ามพรมแดน

บทวิเคราะห์- การสกัดแร่แรร์เอิร์ท ได้กลายเป็นการแข่งขันเพื่อจัดสรรทรัพยากรระหว่างกลุ่มติดอาวุธทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกองทัพพม่า หรือกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ (EAOs) นักวิเคราะห์ชาวพม่า “มินถัต” กล่าวในบทความภาษาพม่าว่ากลุ่มติดอาวุธเก็บภาษีจากประชาชนเพื่อเลี้ยงกำลังพล ขณะที่รายได้หลักจากการสกัดทรัพยากรถูกนำไปเสริมความแข็งแกร่งให้กองกำลังและการขยายอำนาจ

รายงานของสติมสันสรุปว่า บทบาทของกองกำลังคะฉิ่น KIA กำลังคล้ายกับกองกำลังว้า UWSA ซึ่งควบคุมการส่งออกดีบุกจากรัฐว้า ไปยังจีน นอกจากนี้ว้า UWSA ดำเนินระบบเก็บภาษีไม่เป็นทางการ เพื่อแลกกับการไม่แทรกแซงทางการเมือง และจีนก็ยอมรับรูปแบบนี้ในเขตรัฐว้า และอาจทำเช่นเดียวกันในรัฐคะฉิ่น

ดังนั้นรัฐฉานและรัฐคะฉิ่น ที่ต่างมีกองกำลังว้าและคะฉิ่นเป็นผู้เล่นหลัก จะกลายเป็นศูนย์กลางควบคุมทรัพยากร ซึ่งจะเสริมสร้างอำนาจให้กองกำลังทั้งสองยิ่งขึ้น ด้วยผู้ซื้อหลักอย่างจีน และเป็นแรงบันดาลใจให้กลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ติดอาวุธอื่น ๆ

แร่แรร์เอิร์ทจะสร้างการแข่งขันอย่างรุนแรงระหว่างกองกำลังชาติพันธุ์และกองทัพพม่า ทุกฝ่ายในพม่าต่างมุ่งเป้าไปที่การควบคุมทรัพยากร เพราะเป็นทางลัดสู่การเพิ่มอำนาจอย่างรวดเร็ว

ทั้งหมดนี้ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันกลายเป็น “การแข่งขันอาวุธ – แข่งขันความมั่งคั่ง – แข่งขันทรัพยากรธรรมชาติ” ในฉากของการแก้ปัญหาการเมือง และความฝันของประชาชนในการโค่นล้มระบอบทหาร และสร้างสหภาพประชาธิปไตยแท้จริง กลับถูกกลืนหายไป

————

On Key

Related Posts