Search

ผลกระทบหนักจากเขื่อนน้ำโขง หลายฝ่ายเสนอเร่งศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนทุกมิติ ตั้งกองทุนเยียวยาเป็นธรรม ผลักดันข้อบังคับระหว่างประเทศปกป้องแม่น้ำ ชี้ไทยไฟฟ้าแพงควรทบทวนยุทธศาสตร์พลังงาน-เขื่อน

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ที่ห้องประชุม โรงแรมโฮเทลมุก อ.เมือง จ.มุกดาหาร มีการจัดเวทีสาธารณะ “จากเขื่อนปากแบงถึงเขื่อนพูงอย: การตรวจสอบขององค์กรอิสระ และผลกระทบข้ามพรมแดน” โดยมีตัวแทนผู้ตรวจการแผ่นดิน ตัวแทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ตัวแทนคณะกรรมมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม นักวิชาการ และตัวแทนชาวบ้าน 8 จังหวัดแม่น้ำโขง เข้าร่วม

ช่วงแรกเป็นการเปิดเวทีเสียงประชาชน “ชุมชนและสิ่งแวดล้อมอยู่ตรงไหนของกระบวนการตัดสินใจ โดยนายอนันต์ ทวีสุข ตัวแทนชาวบ้าน จ.มุกดาหาร กล่าวว่า ก่อนเปิดใช้งานเขื่อน แม่น้ำโขงมีความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ มีพันธุ์ปลาพันธุ์พืชมากมายให้พี่น้องได้หากินทุกวัน แต่ปัจจุบันทรัพยากรเหล่านี้หมดไปแล้ว นับตั้งแต่ปี 2549 กระแสน้ำขึ้นลงไม่ปกติ พืชผักธรรมชาติเริ่มหายไปกลายเป็นไมยราบยักษ์ ส่วนต้นหว้าน้ำ ต้นไคร้ถูกกระแสน้ำพัดหายไป แมลงกับไส้เดือนที่เป็นอาหารปลาแทบไม่มีแล้ว

นายชาญณรงค์ วงศ์ลา ตัวแทนชาวบ้าน จ.เลย กล่าวว่า ผลกระทบที่เชียงคานได้รับแตกต่างจากพื้นที่อื่น เนื่องจากห่างจากเขื่อนไซยะบุรี 200 กิโลเมตร ตั้งแต่เริ่มสร้างเขื่อนจะเห็นได้ชัดว่าน้ำขึ้นลงผิดปกติ น้ำมีตะกอนดินทรายจากการระเบิดและการก่อสร้าง แต่หลังจากเปิดเดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า น้ำโขงแห้งลงและน้ำใส พันธุ์ปลาที่อพยพไปวางไข่ในช่วงฤดูแล้ง ไปได้เพียง 1-2 เดือน ปลาต้องกลับมา แสดงว่าไม่สามารถอพยพผ่านเขื่อนได้ หลังจากนั้นชนิดปลาและจำนวนปลาลดลง เห็นชัดที่แก่งวัดใหญ่ พันธุ์ไม้ ต้นไคร้หายไปจำนวนมาก

นายชาญณรงค์ กล่าวอีกว่า ในเวทีรับฟังความคิดเห็น ผู้พัฒนาโครงการจะให้ข้อมูลเฉพาะด้านดี แต่เสียงของชาวบ้านไม่ได้รับการตอบสนอง ไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เป็นเสียงถูกมองข้าม ดังนั้นกระบวนการจึงเป็นเพียงการทำตามขั้นตอนให้เสร็จสิ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นความล้มเหลวของการพัฒนาที่ลืมชุมชน มันเป็นเรื่องท้าทายที่ชาวบ้านทุกคนต้องร่วมกันต่อสู้ต่อไป

นายอำนาจ ไตรจักร ประธานเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดอีสาน กล่าวว่า ชาวบ้านริมแม่น้ำโขงช่วยกันทำวิจัยไทบ้านนำข้อมูลนี้ไปฟ้องศาลปกครอง แต่ศาลบอกว่าชาวบ้านเรียนจบอะไรมาทำข้อมูล นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น สุดท้ายศาลตัดสินว่ากฏหมายไทยไปไม่ถึง และชี้ว่าชาวบ้านไม่ใช่ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ที่น่าอนาถใจที่สุดคือเวทีประชาพิจารณ์ที่ จ.อุบลราชธานี ที่ชาวบ้านถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมเวที

นางสอน จำปาดอก ชาวประมงพื้นบ้าน จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า เขื่อนแม่น้ำโขงส่งผลให้กระแสน้ำโขงไหลแรง น้ำขึ้นลงฉับพลัน 2-3 เมตรใน 1 ชั่วโมง เรือที่ผูกไว้ถูกน้ำพัดหาย เครื่องมือประมงเสียหาย เกษตรกรลงทุนซื้อพันธุ์ปลูกถั่ว ข้าวโพด ต้องถูกน้ำท่วมเสียหาย

นางสดใส สร่างโศรก ตัวแทนชาวบ้าน จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า ชาวบ้านเคยมีบทเรียนน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อน เห็นได้ชัดเจนในปี 2562 ฝนมีไม่มากแต่น้ำท่วมนาน และท่วมในพื้นที่ที่ไม่เคยท่วมมาก่อน หรือน้ำท่วมในปี 2565 แต่ระบายได้เร็วเพราะระดับแม่น้ำโขงต่ำกว่าแม่น้ำมูล ในการบริหารจัดการเขื่อนปากมูลนั้น ชาวบ้านต้องไปเรียกร้องให้รัฐเปิดเขื่อน ซึ่งทำให้ชาวบ้านกลับมามีรายได้ 300 ล้านบาท และเป็นการฟื้นฟูแหล่งอาหารและเศรษฐกิจชุมชน ส่วนในอนาคตหากมีเขื่อนภูงอยจะทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมถาวร และปัญหาพรมแดน เพราะน้ำจะเท้อมาถึงอุบลฯ

“สถานการณ์ตอนนี้โครงสร้างทางการเมืองที่ยืนอยู่ข้างๆ นายกฯ คือกลุ่มทุนพลังงาน คอยกำหนดว่าต้องสร้างเขื่อน สร้างโรงไฟฟ้า แต่ประชาชนเดือดร้อนจ่ายค่าไฟฟ้าแพง เราได้อะไรจากเขื่อนพูงอย ผลกระทบมากหรือน้อยกว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้น” นางสดใส กล่าว

จากนั้นในช่วงที่สองเป็นเวทีสาธารณะ “การตรวจสอบขององค์กรอิสระและผลกระทบข้ามพรมแดน”

นายทรงศักดิ์ สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ในการตรวจสอบโครงการเขื่อนสานะคามและเขื่อนพูงอยนั้น เร็วๆ นี้จะออกข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลให้มีแผนพลังงานให้ชัดเจนว่า ควรเน้นพลังงานสะอาด ส่วนการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงนั้นมีผลกระทบมาก ควรมีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนก่อนเข้าสู่กระบวนการการแจ้งการปรึกษาหารือล่วงหน้า (PNPCA) ที่เดิมไม่ได้อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) จะมีการเสนอต่อสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) และหน่วยงานเกี่ยวข้องผลักดันเป็นข้อบังคับให้ได้

นายทรงศัก กล่าวอีกว่า กรณีโครงการเขื่อนนอกประเทศไทยนั้น ควรมีกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แบบมีส่วนร่วม  โดยกำลังติดตามเน้นไปที่โครงการเขื่อนปากแบงที่แม้จะลงนามเอ็มโอยูซื้อไฟฟ้าจากลาวแล้ว แต่ยังอยู่ในขั้นตอนและเงื่อนไขการกู้เงินจากธนาคาร ซึี่งเห็นว่าไทยควรทำอีไอเอแบบมีส่วนร่วมคู่ขนานไปด้วย นอกจากนี้จะมีข้อเสนอแนะให้แก้ไข พรบ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2562 ให้เพิ่มกระบวนการจับทำอีไอเอข้ามพรมแดน และขอให้สมาชิกวุฒิสภา(สว.) เห็นความสำคัญของการแก้กฏหมาย เพราะเรื่องที่มีผลกระทบข้ามพรมแดน

นายทรงศัก กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2562 ยังไม่มีการฟื้นฟูหรือเยียวยาผลกระทบแก่ชุมชนกรณีเขื่อนพูงอยและเขื่อนไซยะบุรี ซึ่งผู้มีส่วนรับผิดชอบเยียวยา คือประเทศผู้สร้างเขื่อน และผู้ได้รับประโยชน์คือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ซึ่งมีข้อเสนอแนะผ่าน MRC แล้ว โดยเสนอให้ตั้งกองทุนชดเชย โดยเขื่อนปากแบงมีการตั้งกองทุนชดเชย 40 ล้านบาท แต่ยังไม่มีความชัดเจนในหลักเกณฑ์และการจัดสรร โดยเฉพาะบทบาทของ กฟผ. ควรแสดงความรับผิดชอบอย่างชัดเจนผ่านแผนปฏิบัติการร่วมว่าใครใช้กองทุนได้และอย่างไร รวมถึงติดตั้งสถานีวัดระดับน้ำหลายจุดในเชียงราย และจัดทำมาตรการรองรับปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง

นายทรงศัก กล่าวว่า จากกรณีร้องเรียนกระบวนการจัดเวทีรับฟังความคิดเห้นของเขื่อนสานะคาม ว่าเป็นเวทีเผยแพร่ข้อมูลโครงการ ไม่ใช่เวทีสาธารณะที่รับฟังความคิดเห็นนั้น จึงได้มีข้อเสนอให้ผลักดันเรื่องนี้ในกรอบ MRC ส่วนเขื่อนไซยะบุรีและเขื่อนที่สร้างแล้ว เช่น เขื่อนหลวงพระบาง ควรมีแผนฟื้นฟูระบบนิเวศโดยมีประชาชนอยู่ในแผนด้วย และขอให้มีระบบแจ้งเตือนภัยที่เข้าถึงประชาชน ส่วนเขื่อนพูงอยควรเริ่มศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนอย่างเร่งด่วน พร้อมจัดให้มีกระบวนการรับฟังความเห็นอย่างมีส่วนร่วม โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีชุมชนอาศัยอยู่ก่อน เช่น ที่ดินแก่งจะนะ

ดร.พูนศักดิ์ จันทร์จำปี ประธานคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า สำหรับเขื่อนปากแบง ในปี 2567 หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่เชียงราย ทำให้เห็นภาพพื้นที่เสี่ยงน้ำเท้อว่าครอบคลุมพื้นที่ใดบ้าง จึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สนทช. กรมทรัพยากรน้ำ กฟผ. และฝ่ายความมั่นคงเข้าหารือ โดยเอกชนผู้พัฒนาโครงการปฏิเสธเข้าร่วม มี 4 ประเด็นหลัก คือ 1.พลังงานพบว่าไทยมีแผนยกเลิกซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนเดิมเพื่อหันไปซื้อจากเขื่อนปากแบง ซึ่งมีราคาสูงกว่า ทั้งที่ไทยมีไฟฟ้าสำรองมากเกินพอ 2.ชลศาสตร์ การกักเก็บน้ำของเขื่อนอาจทำให้น้ำโขงสูงขึ้นและเกิดน้ำเท้อในพื้นที่เหนือน้ำ โดยมีลักษณะคล้ายเหตุการณ์น้ำท่วมเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งว่ายังไม่มีการศึกษาเชิงลึกที่ชัดเจน

ดร.พูนศักดิ์ กล่าวต่อว่า 3.เรายังไม่ได้รับผลการศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนและสิ่งแวดล้อมจาก กฟผ. แม้ร้องขอมาตั้งแต่ มี.ค.-เม.ย. ซึ่งทราบว่าภาคประชาชนเพื่งได้รับรายงานนี้ จะขอเอกสารไปตรวจสอบและยังไม่มีการประเมินผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ปรากฏการณ์ฝนตกหนักในระยะสั้น (เรนบอมบ์) ที่อาจกระทบการระบายน้ำในพื้นที่ 4.มีการประชุมกับกองทัพเรือและกระทรวงการต่างประเทศ พบว่ายังไม่มีการศึกษาความเปลี่ยนแปลงของร่องน้ำลึกจากการสร้างเขื่อน จึงเสนอให้มีการศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดน และจัดตั้งองค์กรความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมในระดับอาเซียน เช่นเดียวกับแม่น้ำดานูบในยุโรปภายใต้อียู เพื่อสร้างกลไกหรือกฏหมายที่สามารถบังคับใช้ร่วมกันในภูมิภาค

น.ส.พิมพ์ดาว จันทรขันดี ผอ.สำนักคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน(กสม.) เน้นย้ำว่า การดำเนินโครงการพลังงานต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยรัฐและเอกชนควรมีกลไกเยียวยาที่เป็นธรรมให้ประชาชน ส่วนกรณีเขื่อนสานะคามและพูงอย กสม.จะรวบรวมข้อคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยมุ่งเน้นผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และความมั่นคงของพื้นที่ชายแดน ซึ่งต้องหารือร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงต่อไป

น.ส.พิมพ์ดาว กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีแม่น้ำกกที่มีการปนเปี้อนสารหนูและสารโลหะหนักถูกหยิบยกเป็นปัญหาเร่งด่วน โดยภายในเดือน ก.ค.นี้ จะมีการลงพื้นที่และจัดเวที เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะผลกระทบจากน้ำเท้อ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ส่วนเรื่องเรื่องค่าไฟฟ้าแพงจะมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นใน 4 ภูมิภาค เพื่อเสนอแนวทางการคิดค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรมสำหรับครัวเรือนไปยังรัฐบาล ซึ่งเป็นภารกิจที่ กสม.กำลังดำเนินการ

ศ.ดร.กนกวรรณ นักวิชาการมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า รายงาน EIA ของโครงการเขื่อนถูกวิจารณ์ว่าขาดความชอบธรรม ทั้งในแง่เนื้อหาและกระบวนการ โดยบริษัทผู้ดำเนินโครงการหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อเร่งดำเนินงาน แม้การจัดทำ EIA อย่างรอบด้านจะใช้งบประมาณไม่มากนักเมื่อเทียบกับมูลค่าโครงการหลักแสนล้านบาท แต่กลับละเลยการศึกษาที่ครอบคลุม โดยเนื้อหาใน EIA เน้นผลกระทบทางกายภาพ เช่น มูลค่าต้นไม้ใหญ่ แต่มองข้ามความสัมพันธ์ของพืชพรรณพื้นถิ่น เครื่องมือหาปลา และวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ไม่มีการเชื่อมโยงภาพรวมของระบบนิเวศ ส่งผลให้การประเมินแคบและไม่สะท้อนความจริง และมีการประเมินว่า 3-5 ปี ผลกระทบเป็นไปตามผลการศึกษาหรือไม่

ศ.ดร.กนกวรรณ กล่าวว่า ข้อเสนอคือ ต้องเปลี่ยนแนวคิดการประเมินจากรายโครงการเป็นระดับยุทธศาสตร์ โดยประเมินร่วมกันทั้งเขื่อนที่สร้างแล้ว กำลังสร้าง และวางแผนสร้างในอนาคต พร้อมทั้งต้องคำนึงถึงผลกระทบสะสม ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ไม่มีที่ดินที่ต้องพึ่งพาแม่น้ำโดยตรง และต้องใช้กระบวนการเก็บข้อมูลเชิงลึก สัมภาษณ์เชิงคุณภาพ จัดกลุ่มย่อยอย่างจริงจัง ไม่ใช่เร่งรีบจนมองเห็นแต่เขื่อนโดยไม่เห็นคน ปลา และแม่น้ำ

ศ.ดร.กนกวรรณ กล่าวว่า แม่น้ำถูกควบคุมโดยทุนพลังงานมากกว่าการดูแลเอาใจใส่แม่น้ำ ดังนั้นการจัดตั้งคณะกรรมการผู้แทนแม่น้ำหรือกลไกทางกฎหมายที่ให้สิทธิมนุษย์ในการฟ้องร้องแทนแม่น้ำ เช่น กรณีแม่น้ำกกที่ควรเป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางนี้  นอกจากนี้ควรมีการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนหลังการสร้างเขื่อนแม่น้ำโขง เพื่อประเมินผลเชิงยุทธศาสตร์ว่ายังจำเป็นต้องมีเขื่อนอีกหรือไม่

ศ.ดร.ทวนทอง จุฑาเกตุ นักวิชาการ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า รายงาน EIA ยังขาดความสมบูรณ์ โดยเฉพาะการร้อยเรียงข้อมูลให้เห็นภาพรวมของผลกระทบ เช่น การเปลี่ยนแปลงต่อปลาและระบบนิเวศ ซึ่ง MRC อาจไม่รับรองว่าเป็น EIA ที่ครบถ้วน อย่างกรณี ขื่อนไซยะบุรีมีการปรับปรุงบันไดปลาตามข้อเสนอแนะ ขณะที่เขื่อนปากแบงและพูงอยมีลักษณะแตกต่างจากสานะคาม โดยเฉพาะความกังวลเรื่องน้ำเท้อ ซึ่งควรมีการจัดทำฉากทัศน์ผลกระทบไว้ล่วงหน้า และทำ EIA ก่อนเข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า

——————

On Key

Related Posts