เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 ได้มีหนังสือจากนาย Tim Moore ผู้อำนวยการประเทศไทยของ The Border Consortium(TBC) ซึ่งเป็นองค์กรสาธารณกุศล ที่สนับสนุนด้านอาหารและที่อยู่อาศัยให้กับอพยพในค่ายผู้ลี้ภัย (ศูนย์พักพิงชั่วคราว) ทั้ง 9 แห่งบริเวณชายแดนไทย-พม่าประมาณ 90,000 คน(อ้างอิงตามตัวเลของ TBC) ส่งไปยังคณะกรรมการค่าย และหน่วยงานราชการในจังหวัดชายแดนโดยมีเนื้อหาสรุปว่า “พวกเรารู้สึกเสียใจที่ต้องแจ้งให้ทราบว่า ณ วันนี้ เรายังไม่ได้รับการยืนยันว่าจะมีการสนับสนุนงบประมาณจากผู้บริจาครายหลัก (สหรัฐอเมริกา) สำหรับโครงการบัตรอาหาร หลังวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ซึ่งหมายความว่าการสนับสนุนผ่านบัตรอาหารอาจจะสิ้นสุดลงหลังจากวันดังกล่าว
ในหนังสือระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อครัวเรือนส่วนใหญ่ และเป็นผลโดยตรงจากการที่คาดว่าจะมีการถอนการสนับสนุนจากผู้บริจาครายใหญ่รายหนึ่งของ TBC แม้ว่าเราจะพยายามอย่างเต็มที่ในการหาแหล่งสนับสนุนอื่น ๆ มาเสริม แต่จนถึงขณะนี้ เรายังไม่สามารถปิดช่องว่างทางงบประมาณได้ อย่างไรก็ตาม ครัวเรือนที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางที่สุด Most Vulnerable (MV) และ กลุ่มเปราะบาง Vulnerable (V) จะยังคงได้รับความช่วยเหลือด้านอาหารในระดับที่จำกัด โดยจะเปลี่ยนเป็นการแจกอาหารแห้งรายเดือน ซึ่งจะจัดขึ้นที่โกดัง
“สำหรับครัวเรือนในกลุ่มมาตรฐาน Standard จะไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านอาหารหลังวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 อีกต่อไป โดยการเติมเงินครั้งสุดท้ายในบัตรอาหารจะมีขึ้นในวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ซึ่งจะเป็นจำนวนเดียวกับที่เติมในเดือนมิถุนายน และจะไม่มีการเติมเงินใด ๆ ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป” หนังสือของ TBC ระบุ
หนังสือระบุว่า เข้าใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ อาจสร้างความลำบากอย่างมาก และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับท่านและครอบครัว TBC ยังคงมุ่งมั่นในการหาทุนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง และจะแจ้งให้ท่านทราบหากมีความคืบหน้าใดๆ ในขณะเดียวกัน เรากำลังทำงานร่วมกับทางการไทยอย่างเร่งด่วน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานในพื้นที่ได้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ขอขอบคุณในความเข้าใจและความร่วมมือของท่าน ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ ซึ่งเรายังคงให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือครัวเรือนกลุ่มเปราะบางเป็นอันดับแรก”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากหนังสือของ TBC แล้ว เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 IRC (International Rescue Committee) องค์กรสาธารณกุศลอีกองค์กรหนึ่งที่ให้ความช่วยเหลือด้านสุขภาพในค่ายผู้ลี้ภัย ก็ได้มีหนังสือถึงหน่วยงานด้านสาธารณสุขในจังหวัดชายแดนเช่นเดียวกัน เพื่อแจ้งยุติการให้บริการด้านสุขภาพ ในค่ายผู้ลี้ภัยทั้ง 7 แห่ง ประกอบด้วย 1. บ้านถ้ำหิน จ.ราชบุรี 2. บ้านต้นยาง จ.กาญจนบุรี 3. บ้านนุโพ จ.ตาก 4. บ้านอุ้มเปี้ยม จ.ตาก 5. บ้านแม่หละ จ.ตาก 6. บ้านแม่สุรินทร์ จ.แม่ฮ่องสอน 7. บ้านใหม่ในสอย จ.แม่ฮ่องสอน
ทั้งนี้เนื้อหาในหนังสือสรุปว่า รัฐบาลสหรัฐฯได้ให้การสนับสนุนเงินทุนแก่องค์กร IRC สำหรับบริการด้านมนุษยธรรมเหล่านี้รวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านอาหารแก่ผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ โดยเงินทุนโครงการปัจจุบันจะสิ้นสุดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ซึ่งขณะนี้ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่มีการแจ้งเกี่ยวกับการสนับสนุนเงินทุนต่อในอนาคต และนอกจากนี้ยังไม่มีผู้บริจาครายอื่นที่สามารถให้การสนับสนุนได้
“หากไม่มีเงินทุนสนับสนุนต่อในอนาคต เราจะไม่สามารถให้บริการด้านการดูแลสุขภาพในพื้นที่พักพิงได้อีกต่อไป ซึ่งวันสุดท้ายของการให้บริการ คือ 31 กรกฎาคมนี้ เราต้องการเริ่มวางแผนสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุข ทั้งในระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับอำเภอ” หนังสือระบุ
แหล่งข่าวจากค่ายผู้ลี้ภัย เปิดเผยว่า ภารกิจในค่ายผู้ลี้ภัยแบ่งออกเป็น 7 แผนก โดย TBC รับผิดชอบ 3 ด้านคืออาหาร ที่พักและการบริหารจัดการชุมชน โดยงบประมาณกว่า 60% เป็นงบจากสหรัฐฯซึ่งปีที่ผ่านมา ได้รับงบจากสหรัฐฯ15 ล้านเหรียญ (ประมาณ 485 ล้านบาท) โดยแต่ละเดือนต้องจ่ายเป็นค่าอาหารให้ผู้ลี้ภัยใน 9 ค่าย 40 ล้านบาท
“ทั้ง TBC และ IRC ได้รับเงินสนับสนุนจากสหรัฐฯเป็นหลัก เมื่อทรัมป์ขึ้นมาและไม่ต่อสัญญาให้จึงไปต่อไม่ได้ ซึ่งทั้งสององค์กรต่างรับรู้สถานการณ์ล่วงหน้าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ จึงได้ส่งสัญญาณไปยังรัฐบาลไทย สมช.และ คณะกรรมาธิการฯ โดยได้เคยเดินทางไปพบผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยมาแล้ว เพื่อร่วมกันหาทางออก แต่ผ่านไปแล้ว 4 เดือนก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า ข้อเสนอหนึ่งคือการอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยในค่ายสามารถออกมาทำงานภายนอกได้โดยอยู่ในพื้นที่ที่รัฐบาลกำหนด อย่างน้อยหากคนเหล่านี้ได้ออกมาทำงานสัก 1 สัปดาห์ใน 1 เดือน ก็จะสามารถช่วยในเรื่องค่าอาหารของแต่ละครอบครัวในค่ายได้
นายเฮโซ กรรมการผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยง กล่าวว่ากล่าวว่าข้อเสนอให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานข้างนอก จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ เลี้ยงครอบครัว ไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือหรือเงินบริจาคเท่านั้น จึงขอเรียนให้รัฐบาลไทยมีนโยบายอนุญาติให้ออกไปทำงานได้ เช่น ในพื้นที่รอบๆ ค่ายผู้ลี้ภัย รับจ้างเก็บพืชผลเกษตร เพื่อจะได้มีรายได้เลี้ยงชีพ พึ่งตนเองได้
ผศ.ดร.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์ อาจารย์ภาคสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า TBC เป็นองค์กรแรกที่ดูแลผู้ลี้ภัยหลังจากที่อพยพข้ามมาจากพม่าโดยได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลทั่วโลก แต่ก่อนหน้านี้ได้ประสบปัญหาเรื่องการถูกตัดงบประมาณเนื่องจากงานในค่ายผู้ลี้ภัยของไทยยืดเยื้อยาวนาน ดังนั้นรัฐบาลในหลายประเทศและผู้บริจาคทั้งหลายจึงมองว่าไม่ได้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงโยกย้ายงบประมาณไปช่วยเหลือพื้นที่ที่ฉุกเฉินกว่า เช่น ซีเรีย หรือบางประเทศในแอฟริกา จนกระทั่งเหลือรายใหญ่คือสหรัฐฯ
“ครั้งนี้เป็นผลกระทบโดยตรงจากนโยบายของปธน.ทรัมป์ ที่ตัดงบประมาณในการช่วยเหลือประเทศต่างๆ ก่อนหน้านี้ การแจกอาหาร TBC แจกเป็นข้าว หากจะกินอย่างอื่นก็ต้องไปหาเอาเอง เขาได้แค่สิ่งที่จำเป็นพื้นฐาน แต่เมื่อถูกตัดงบประมาณครั้งนี้ แม้แต่สิ่งจำเป็น เช่น ข้าว ก็ถูกตัดไป ส่งผลกระทบเรื่องอื่นๆตามมา เขาจะใช้ชีวิตต่อกันอย่างไร”นักวิชาการผู้นี้กล่าว
ผศ.ดร.จิราพร กล่าวว่า การไม่สนับสนุนทุนต่อไป สะท้อนโครงสร้างด้านมนุษยธรรมของโลกใบนี้ทั่วโลกร่วมกัน ในการดูแลผู้ลี้ภัย ซึ่งรัฐบาลไทยก็ไม่พร้อมอยู่แล้ว ที่ผ่านมาจึงโยนงานนี้ให้เอ็นจีโอและองค์กรระหว่างประเทศ
“รัฐบาลไทยควรลุกขึ้นมาเป็นตัวตั้งตัวตีในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างจริงจัง เราเห็นปัญหาประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ เราควรมองสถานการณ์เพื่อนบ้านผ่านปัญหาเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้น รัฐบาลไทยควรสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านใหม่ และเป็นผู้นำในการเมืองแบบมนุษยธรรมมากขึ้น”ผศ.ดร.จิราพร กล่าว
ผศ.ดร.มาลี สิทธิเกรียงไกร อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่กล่าวว่า แม้ความช่วยเหลือยังให้กับผู้ลี้ภัยที่เป็นคนเปราะบาง แต่นั่นเป็นเพียงส่วนน้อยเพราะผู้อพยพทั่วไปก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือแล้ว คนเหล่านี้หากอยู่ในค่ายก็ไม่มีข้าวกิน จึงเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะมีผู้ลี้ภัยในค่ายอยู่หลายหมื่นคน
“เฉพาะหน้าคือรัฐบาลควรประเมินความสามารถของผู้ที่อยู่ในค่ายแต่ละคน แล้วให้เขาออกมาทำงานข้างนอกได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราเรียกร้องมาโดยตลอด เพราะคนเหล่านี้จำนวนมากมีศักยภาพ และมีหลักแหล่งที่ชัดเจน กระทรวงมหาดไทย หรือ UNHCR ก็มีประวัติทุกคนอยู่แล้ว เขามีหลักแหล่งที่แน่นอน รู้ว่าใครเป็นใคร ดังนั้นควรให้เขาได้หารายได้ มีเงินมาประทังชีวิต เป็นทางออกทางหนึ่ง เขาก็ได้พัฒนาตัวเองและมีความภูมิในตัวเอง” ผศ.ดร.มาลี กล่าว