Search

ร้องยูเอ็นสอบวิกฤตน้ำกก-น้ำสายส่งผลกระทบข้ามแดนเหตุเหมืองแร่ในรัฐฉาน ไทย-พม่าจัดประชุม RBC ครั้งที่ 37 ไทยเสนอเข้าไปให้ความรู้การทำเหมือง

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 นายธีรชัยศาลเจริญกิจถาวร ผู้ประสานงานเครือข่ายติดตามการลงทุนไทย ETOs Watch Coalition เปิดเผยว่าได้ร่วมกับเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง ส่งจดหมายถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขององค์การสหประชาชาติ เรื่องคำร้องเร่งด่วนกรณีวิกฤตมลพิษโลหะหนักข้ามพรมแดนในลุ่มน้ำโขงตอนบนและแม่น้ำสาขา เพื่อเสนอคำร้องเร่งด่วนให้สหประชาชาติติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินการต่อวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนข้ามพรมแดนที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต วิกฤตครั้งนี้มีต้นทางมาจากการทำเหมืองแร่ขนาดใหญ่ในรัฐฉาน สหภาพเมียนมา ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือของไทย และซ้ำเติมสถานการณ์ของแม่น้ำโขงที่ได้รับผลกระทบสะสมจากการสร้างเขื่อนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนล่าง

นายธีรชัยกล่าวว่า จากข้อมูลที่ได้ตรวจสอบพบว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 เป็นต้นมา ได้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของกิจกรรมการทำเหมือง (โดยเฉพาะการขุดทองคำและแร่หายาก rare earth elements) ซึ่งมีรายงานว่าได้รับการสนับสนุนจากเงินทุนจีน โดยดำเนินการในพื้นที่เมืองสาดและเมืองยองในรัฐฉาน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำกกและแม่น้ำสายที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทยและลงสู่แม่น้ำโขง การทำเหมืองแบบเปิดได้ส่งผลให้เกิดการทำลายป่าไม้และภูมิประเทศอย่างรุนแรง และตะกอนปนเปื้อนโลหะหนักได้ไหลลงสู่ระบบแม่น้ำนานาชาติ โดยไม่มีมาตรการใดในการควบคุมหรือบรรเทามลพิษดังกล่าว

นายธีรชัยกล่าวว่า มลพิษข้ามพรมแดนนี้ได้ก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง และคุกคามสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของประชาชนหลายแสนคนอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะสิทธิในสุขภาพ และสิทธิในการมีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย สะอาด และยั่งยืน ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคได้อย่างปลอดภัย และความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาวยังเพิ่มขึ้น จากการสะสมของสารพิษในสัตว์น้ำและพืชผล ซึ่งจะส่งผลกระทบผ่านห่วงโซ่อาหาร สถานการณ์ปัจจุบันจึงน่าวิตกอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีการประเมินเชิงลึกถึงขอบเขตของการปนเปื้อนในตะกอน ซึ่งอาจทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจากเหตุการณ์น้ำท่วมตามฤดูกาลในจังหวัดเชียงรายตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งพัดพาตะกอนที่อาจปนเปื้อนมลพิษออกไปอย่างกว้างขวาง

“นอกจากนี้ เรายังมีความกังวลว่า การก่อสร้างเขื่อนปากแบงใน สปป.ลาว ซึ่งตั้งอยู่ปลายน้ำ อาจกลายเป็นอ่างเก็บตะกอนปนเปื้อนโลหะหนักขนาดใหญ่โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งจะส่งผลให้สารหนูและโลหะหนักอื่น ๆ สะสมในระยะยาว และอาจนำไปสู่หายนะทางสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบถาวรต่อระบบนิเวศของแม่น้ำโขงและประชาชน”นายธีรชัย กล่าว

นายธีรชัยกล่าวว่า พวกเราจึงเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่องค์การสหประชาชาติในฐานะองค์กรพหุภาคี ควรเข้ามามีบทบาทอย่างเร่งด่วน จึงใคร่ขอความกรุณาจากท่านในการจัดประชุมหารืออย่างเป็นทางการ โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีอำนาจในการตัดสินใจในเบื้องต้นเข้าร่วมกับผู้แทนจากภาคประชาชน

“วิกฤตนี้ยังอยู่ภายใต้กรอบของประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน Business and Human Rights ประเทศต้นทางของการลงทุน เช่น จีน ซึ่งเป็นผู้ให้ทุน และเมียนมา ซึ่งเป็นต้นตอของมลพิษ ย่อมมีความรับผิดชอบโดยตรง ขณะเดียวกัน ประเทศปลายทาง เช่น ไทย ซึ่งอาจเป็นผู้นำเข้าสินแร่หรือเกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานของเหมืองดังกล่าว ก็มีพันธกิจในการป้องกันและจัดการผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ทั้งสามประเทศต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันในการจัดให้มีมาตรการเยียวยาอย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ ตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ตนได้ให้สัตยาบันไว้” นายธีรชัยกล่าว

วันเดียวกันเพจNBT ภาคเหนือรายงานว่า ที่โรงแรมกรีนเลค รีสอร์ท อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย – เมียนมา หรือ RBC ครั้งที่ 37 โดยมี พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานฝ่ายไทย และ พลโท ยุ้น วิน ส่วย ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการพิเศษที่ 4 เป็นประธานฝ่ายเมียนมา นอกจากนี้ยังมีนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งไทยและเมียนมาเข้าร่วม

ทั้งนี้ฝ่ายไทยได้เสนอเรื่องปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งไหลผ่านพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ที่เกิดจากการทำเหมืองแร่ของชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในพื้นที่แนวชายแดน และมีการปล่อยน้ำเสียที่ปนเปื้อนโลหะหนัก ทั้งสารหนู และสารตะกั่ว ที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสุขภาพของประชาชนทั้งสองฝั่ง ในเบื้องต้นฝ่ายไทยได้ขอให้ฝ่ายเมียนมา ไปเจรจากับผู้ที่ได้รับสัมปทานในการทำเหมืองแร่ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ให้มีการบำบัดสิ่งปนเปื้อนก่อนที่จะปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ และฝ่ายไทยพร้อมสนับสนุนนักวิชาการที่จะเข้าไปให้ความรู้เรื่องการบำบัดน้ำ รวมทั้งขอให้ฝ่ายเมียนมาใช้เกณฑ์มาตรฐานในการวัดคุณภาพน้ำเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

————

On Key

Related Posts