Search

หวั่นผู้ลี้ภัย 1 แสนไร้อาหาร-แนะรัฐผ่อนผันให้ออกมาทำงานภายนอกในพื้นที่จำกัดอย่างน้อยเดือนละ 1 สัปดาห์-หวังให้มีรายได้ซื้อข้าวเลี้ยงครอบครัว “ผศ.ลลิตา”ชี้ไม่ได้แย่งงานคนไทย

ความคืบหน้ากรณีที่ The Border Consortium(TBC) และ IRC (International Rescue Committee) สององค์กรสาธารณกุศล กำลังจะยุติการให้ความช่วยเหลือด้านงบประมาณในค่ายผู้ลี้ภัยจากการสู้รบ(ศูนย์พักพิงชั่วคราว) 9 แห่งบริเวณชายแดนไทย-พม่าในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะทำให้ผู้ลี้ภัย 90,000-100,000 คนได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากไม่มีงบประมาณด้านอาหารและด้านสุขภาพ

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 เจ้าหน้าที่อาวุโสในองค์กรสาธารณกุศลที่สนุนงบประมาณให้ค่ายผู้ลี้ภัยเปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ทุนที่ให้ผู้ลี้ภัยในค่ายผู้ลี้ภัย 9 แห่งในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินบริจาคมาจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จะหมดลงในสิ้นเดือนนี้  และขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าในเดือนสิงหาคมยังจะมีหรือไม่ เท่ากับว่างบประมาณ 60% จะหายไป โดยขณะนี้งบประมาณสนับสนุนค่าอาหารของผู้ลี้ภัยอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาทต่อวัน โดยหลังจากนี้จะให้ความช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเปราะบางไปก่อน โดยผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ 80% จะไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านอาหารและข้าวสาร

“เราได้เตรียมการและหารือกับชุมชนมานาน3-4เดือนแล้ว มีการหารือกับคณะกรรมการผู้ลี้ภัย ทั้งของคะเรนนี กะเหรี่ยง องค์กรประชาสังคมทุกกลุ่มที่ทำงานในค่ายผู้ลี้ภัย คุยกับทางการไทย ทั้งปลัดอำเภอ นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด กระทรวงมหาดไทย เราคุยตลอด ว่าสถานการณ์จะแป็นแบบนี้ หลักสำคัญคือเราได้หารือและแจ้งกับผู้ลี้ภัยให้เตรียมตัวไว้แล้ว  เราพยายามหาทาง จัดหาทุนจากแหล่งอื่นมาช่วยกลุ่มเปราะบาง”แหล่งข่าว กล่าว

เขากล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาพยายามผลักดันให้ผู้ลี้ภัยได้ออกไปทำงานได้ แต่อาจใช้เวลา ซึ่งหลังจากสิ้นเดือนนี้จำเป็นมากที่ต้องมีนโยบายให้ผู้ลี้ภัยสามารทำงานได้ สิทธิในการทำงาน (right to work)ซึ่งหากรัฐบาลไทยพิจารณาอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยทำงาน เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ก็จะมีรายได้พอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้ ประเทศไทยเองก็ขาดแคลนแรงงานด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ลี้ภัยเกิดในประเทศไทย ได้รับการอบรมอาชีพ พูดไทยได้ หากให้ทำงานจะดีที่สุดเพื่อไม่ต้องเลี้ยงไปแบบนี้ และจะช่วยเศรษฐกิจไทยด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่าในเดือนนี้ได้เตรียมพร้อมรับมืออย่างไร เจ้าหน้าที่องค์กรสาธารณกุศลรายนี้กล่าวว่าได้มีการประสานงานกับรัฐบาลไทย เรื่องการอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานได้ในเขตจังหวัด เช่น ตาก แม่ฮ่องสอน ซึ่งมีงานภาคเกษตรและโรงงาน โดยให้เดินทางไปทำงานได้ในจังหวัด ไม่ใช่ให้ออกไปทั่ว

ทั้งนี้จำนวนผู้ลี้ภัยในศูนย์พักพิงชั่วคราว (The Border Consortium) ณ เดือนพฤษภาคม 2568 ระบุว่ามีทั้งสิ้น 108,167 คน ขณะที่ตัวเลขของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ระบุว่ามีประมาณ 90,000 คน โดยตัวเลขเพิ่มขึ้นหลังรัฐประหารในพม่าเมื่อปี 2564 เนื่องจากมีประชาชนในพม่าหนีมาชายแดนไทยเพิ่มขึ้น

“สถานการณ์ในพม่ารุนแรง จนพวกเขาไม่สามารถอยู่ได้ เฉพาะในรัฐกะเหรี่ยงมีประชาชนต้องพลัดถิ่นมากถึง 1.1 ล้านคน ในพม่ารวมแล้วอีกกว่า 3 ล้านคน” เขากล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่สหรัฐฯจะกลับมาสนับสนุนงานเหล่านี้อีก เขากล่าวว่าดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ สหรัฐฯตัดงบประมาณความช่วยเหลือนานาชาติทุกที่ทั่วโลก เร็วๆ นี้คงยังไม่ได้ ระบบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกำลังประสบมีปัญหาทุกแห่งทั่วโลก

“ประชาชนที่อาศัยในค่ายผู้ลี้ภัยเหล่านี้ อย่างไรก็ยังกลับไปยังพม่าไม่ได้ เพราะสถานการณ์รุนแรงมาก ประเทศที่สามตอนนี้ก็ไม่มีเปิดรับ ไปไหนต่อไม่ได้ ทางออกคือต้องอยู่เมืองไทย แต่การถูกขังไว้ในค่าย ทำงานไม่ได้ ต้องรอการบริจาคแบบนี้ไม่ยั่งยืน ควรอนุญาตให้สามารถทำงานได้ เข้าระบบแรงงาน จ่ายภาษีถูกต้อง มีการประกันสุขภาพ เด็กๆ ได้เรียนหนังสือ เพราะสัดส่วนคนพม่าในประเทศไทยขณะนี้มีเยอะมาก เป็นผู้ลี้ภัยในค่ายเพียงแค่แสนคน นิดเดียว แต่คนพม่าในไทย 5-6 ล้านคน สามารถให้ทำงานได้ ถ้าเรายังพึ่งเงินบริจาคแบบนี้ก็ต้องจบที่วิกฤตแบบนี้”เจ้าหน้าที่องคกรระหว่างประเทศรายนี้ กล่าว

ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่าและอาจารย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในค่ายพักพิงตลอดแนวชายแดนไทยจำนวนมาก เป็นคนรุ่นที่ 2-3 แล้ว โดยเกิดในค่าย เรียกว่าชีวิตนี้ไม่รู้จักพม่า และประชากรเกินครึ่งเป็นประชากรวัยแรงงาน การให้ทำงานเป็นแรงงานในท้องถิ่น เช่น ค่ายแม่หละ จ.ตาก รอบๆ เป็นพื้นที่เกษตรทั้งหมด ผู้ลี้ภัยขอสิทธิในการทำงาน อาจจะ 2-3 วันต่อสัปดาห์ เพราะในค่ายมีองค์กรช่วยเหลือเรื่องอื่น ซึ่งไม่ได้ให้เป็นเงินสด แต่เป็นบัตรแลกอาหาร food card ซึ่งไม่เพียงพอ

“จริงๆแล้วพวกเขาอยากออกไปทำงานอยู่แล้ว ที่ผ่านมาการออกไปนอกค่ายได้ต้องจ่ายเงินพิเศษให้เจ้าหน้าที่ จึงทำให้เกิดการคอรัปชั่น แต่ละค่ายก็ไม่เหมือนกัน ไม่มี standard of practice (แนวปฏิบัติ) และ SOP ของสมช.ก็กว้างๆ ในขณะที่บริบทของแต่ละค่ายก็แตกต่างกัน จริงๆแล้วรัฐไทยไม่ต้องทำอะไรเยอะเลย ปล่อยให้เขาทำงาน เพราะเด็กๆ หากไม่ได้อยู่ในระบบก็อาจเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ หากเราตั้งเป้าหมายให้คนเหล่านี้เป็นคนที่มีคุณภาพของสังคมไทย ก็ต้องสอนภาษาไทยให้พวกเขาด้วย พร้อมให้มีทักษะที่จะออกไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย เป็นแรงงานที่มีคุณค่า”ผศ.ลลิตา กล่าว

นักวิชาการผู้นี้กล่าวว่า พื้นที่พักพิงชั่วคราวอยู่มา 40 ปีแล้ว ต้องรับความจริงว่า ผู้ลี้ภัยในค่ายจำนวนมากไม่เคยเห็นพม่า ก่อนโควิดก็มีโครงการที่พยายามส่งคนกลับไปพม่า แต่วิธีคิดของระบบราชการไทยยากมากที่จะยอมรับว่าผู้ลี้ภัยไม่ใช่เรื่องชั่วคราวแล้ว ต้องมีการเตรียมการ จนมาถึงวันนี้ที่องค์กรสาธารณกุศลกำลังจะไม่มีเงินแล้วจึงต้องหารือและต้องแก้ปัญหาที่เชิงโครงสร้าง   

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะอธิบายกับสังคมไทยอย่างไร เพราะเชื่อว่าคนไทยบางส่วนต้องมองว่าคนกลุ่มนี้จะมาแย่งงานคนไทย ผศ.ลลิตากล่าวว่าขณะนี้ประเทศไทยขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานเกษตรและอุตสาหกรรมที่ไม่ใช้ทักษะ รวมทั้งงานอันตราย ซึ่งไทยพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในขณะที่ไทยเป็นสังคมสูงวัย หากมีระบบการบริหารจัดการที่ดี มีลงทะเบียนก็สามารถจัดการได้

————

On Key

Related Posts