
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2568 นายบันยา โฆษกสภาบริหารชั่วคราวรัฐคะเรนนี (Interim Executive Council- IEC) ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวชายขอบ” ถึงสถานการณ์ในค่ายผู้ลี้ภัยที่กำลังเผชิญวิกฤตการณ์ภายหลังจากที่ TBC (The Border Consortium) และ IRC (International Rescue Committee) 2 องค์กรสาธารณกุศลระหว่างประเทศ กำลังจะยุติการให้ความช่วยเหลือด้านงบประมาณในค่ายผู้ลี้ภัยจากการสู้รบ(ศูนย์พักพิงชั่วคราว) 9 แห่งบริเวณชายแดนไทย-พม่า ในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะทำให้ผู้ลี้ภัย 90,000-100,000 คนได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากไม่มีงบประมาณด้านอาหารและด้านสุขภาพ ว่าขณะนี้บรรยากาศภายในค่ายผู้ลี้ภัยค่อนข้างเครียด เพราะผู้ลี้ภัยยังไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไร โดยที่ จ.แม่ฮ่องสอน มีผู้ลี้ภัยที่เป็นชาวคะเรนนีราว 1 หมื่นคน ส่วนใหญ่อพยพมานานแล้ว ส่วนชาวบ้านที่หลบหนีใหม่ภายหลังการรัฐประหารในพม่าเมื่อปี 2564 นั้น ไม่ได้เข้ามาอยู่เพิ่ม สวนใหญ่อยู่ในศูนย์ผู้ลี้ภัยฝั่งรัฐคะเรนนี
“ผู้ลี้ภัยเริ่มเครียดตั้งแต่ถูกตัดงบประมาณด้านสุขภาพเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว และความช่วยเหลือเรื่องอาหารก็ลดลงเรื่อยๆ ทราบว่าเนื่องจากแหล่งทุนไม่ตอบรับว่าจะช่วยเหลือต่อ โดยจะยุติแน่นอนราวเดือนสิงหาคม”โฆษก IEC กล่าว
นายบันยากล่าวว่า เข้าใจดีว่าความช่วยเหลือมนุษยธรรมนั้น ยากขึ้นมากในหลายพื้นที่ทั่วโลก เพราะทุนที่ให้การสนับสนุนลดน้อยลง อย่างไรก็ตามหากให้ความช่วยเหลือต่ออีกสัก 3 เดือนก็ยังดี เพื่อให้ผู้ลี้ภัยสามารถเตรียมตัวได้ทัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดอย่างไรกรณีมีผู้เสนอว่าให้ผู้ลี้ภัยออกมาทำงานนอกค่ายได้ นายบันยากล่าวว่า เห็นด้วยสำหรับประเทศไทยนั้นหากเปลี่ยนนโยบายให้ผู้ลี้ภัยสามารถออกไปทำงานนอกค่ายได้ น่าจะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและระยะยาว เพื่อให้ผู้ลี้ภัยสามารถอยู่รอดได้โดยไม่ใช่ถึงกับมีเงินทองมากนัก แค่มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว
“นโยบายการจัดหางานคนในค่ายสามารถออกไปทำงานรายเดือน ทำงานเป็นช่วงๆ หรือรายวัน หากผ่อนปรนให้ เช่น ที่บ้านใหม่ในสอย ปลัดอำเภอ อส. สามารถคัดเลือกคนออกไปทำงานได้ โดยมีเอกสารลงทะเบียนให้ได้รับอนุญาตให้ชัดเจน ทุกคนอยู่ในค่ายมีครอบครัว มีหลักแหล่งที่ชัดเจน เราการันตีได้เลย 95% ทุกคนมีเอกสารลงทะเบียนกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และคณะกรรมการค่ายก็สามารถดำเนินการคัดลือกให้ไปทำงานได้ คนในค่ายเป็นวัยแรงงานกว่า 75% สามารถช่วยเหลือทำงานเกษตรกรรม งานก่อสร้างต่างๆ รอบๆ ค่ายได้เลย” โฆษกสภาบริหารชั่วคราวรัฐคะเรนนี กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ค่ายผู้ลี้ภัยอยู่ในประเทศไทยมานาน และต้องอยู่ต่อไปถึงเมื่อไร นายบันยากล่าวว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปประเทศที่สาม แต่ก็มีคนเข้ามาใหม่และเด็กๆ ที่เกิดใหม่ แต่ตอนนี้โอกาสไปประเทศที่สามนั้นยากมาก อย่างไรก็ตามหลังรัฐประหารในพม่า พศ.2564 ได้มีการสร้างค่ายผู้ลี้ภัยอยู่ในเขตคะเรนนีใกล้ๆ ชายแดน โดยไม่ได้ข้ามมาฝั่งไทยแต่อย่างใด
“ความไม่สงบในพม่าที่ดำเนินอยู่ ทำให้ผู้ลี้ภัยยังไม่สามารถกลับบ้านได้ แต่หากวันหนึ่งสถานการณ์การเมืองและการสู้รบยุติ มินอ่องหลายออกไป ชาวบ้านเหล่านี้ย่อมจะกลับไปถิ่นเดิมในรัฐคะเรนนีแน่นอน บางคนก็เข้าไปอยู่ข้างใน นอกจากนี้คะเรนนีมีแผนที่จะสร้างเมืองใหม่ติดชายแดนไทยไว้ 3 จุด เพราะชาวบ้านบางส่วนเคยแต่อยู่ในค่าย พวกเขาไม่เคยรู้ว่าแผ่นดินเดิมของคะเรนนีเป็นอย่างไร พวกเขาข้ามไปข้ามมากันจนเหมือนเครือญาติกันแล้ว ถ้าเราสร้างเมืองใหม่ให้เขาได้อยู่ก็จะสามารถดำรงชีวิตได้”โฆษก IEC กล่าว
ด้านนายมานพ คีรีภูวดล ประธานคณะอนุกรรมาธิการ(กมธ.)ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยและผู้หนีภัยการสู้รบตามแนวชายแดนไทย – เมียนมา ในคณะกมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า อย่างไรเสียการตัดงบประมาณของสหรัฐฯ ก็กระทบกับประเทศไทยแน่นอน ซึ่ง กมธ.ความมั่นคงฯได้ประชุมหารือกันตั้งแต่กุมภาพันธ์ซึ่งมีความเห็นชี้ชัดว่า นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลกระทบกับผู้ลี้ภัยทั้ง 9 ค่ายแน่นอนและ กมธ.ได้มีหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศและนายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอแนะและขอให้แก้ไขปัญหาในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ แต่จนถึงวันนี้ยังไม่เห็นมีความคืบหน้า
นายมานพกล่าวว่า ข้อเสนอของ กมธ.คือรัฐบาล ประเทศมีการปรับแผนงานรับสถานการณ์ในระยะต่างๆ เพื่อให้ผู้ลี้ภัยในค่ายสามารถพึ่งพาตัวเองได้ โดยต้องอนุญาตให้ออกมาทำงานซึ่งหน่วยงานราชการอาจออกบัตรให้ ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องประสานอาเซียนด้วยในฐานะสมาชิกว่า ควรมีมาตรการออกร่วมกัน
“อย่างน้อยเรื่องอาหารการกินของคนเกือบแสนคนเราจะดูแลกันอย่างไร เมื่อก่อน TBC คอยดูแล แต่เมื่อเขากำลังจะยุติ รัฐบาลอาจต้องเปิดให้คนเหล่านี้ออกมารับจ้างในพื้นที่ใกล้เคียงแคมป์ หรือมีคนภายนอกเอาสินค้าราคาถูกไปขาย ที่ผ่านมาผู้ลี้ภัยจำนวนหนึ่งออกมาจากแคมป์ เพราะเขาอยู่ไม่ได้ เขาต้องการมีรายได้สำหรับเลี้ยงดูครอบครัว” นายมานพ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อรับแรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานในไทยมักมีคนไทยกลุ่มหนึ่งตั้งคำถามว่าแรงงานเหล่านี้เข้ามาแย่งงานคนไทย จะอธิบายกรณีนี้อย่างไร นายมานพกล่าวว่า สังคมไทยรับผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้มาอยู่ในค่ายตั้งแต่ปี 2528 เป็นต้นมา แต่เราไม่มีกฏหมายเรื่องผู้ลี้ภัย จึงใช้คำว่าศูนย์พักพิงชั่วคราวแทน และมีเอ็นจีโอระหว่างประเทศเข้ามาช่วยเหลืองบประมาณด้านอาหาร ด้านสุขภาพและด้านอื่นๆ รัฐบาลไทยเป็นเพียงผู้จัดหาสถานที่เท่านั้น แต่ตอนนี้ความช่วยเหลือต่างๆ กำลังยุติ ดังนั้นในทางมนุษยธรรม หากเราช่วยเหลืออื่นไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ได้คือการช่วยให้เขาพึ่งพาตัวเอง และผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้ก็ไม่ได้แย่งงานคนไทยเพราะเป็นงานที่คนไทยไม่ทำอยู่แล้ว เช่น งานภาคเกษตร งานที่ใช้แรงงาน ซึ่งถือว่าเป็นการเติมเต็มให้กันมากกว่า
ขณะที่นางหน่อวา (นามสมมุติ) ผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงในค่ายแม่หละวัย อายุ 34 ปี กล่าวว่า พ่อแม่หนีภัยการสู้รบมาอยู่ในค่ายตั้งแต่ตนอยู่ในท้อง ขณะที่พี่สาวได้ไปประเทศที่สามแล้ว ตนเองก็สมัครไว้ว่าจะไปประเทศที่ 3 เช่นกัน ทุกวันนี้ตนเองมีรายได้เล็กๆ น้อยๆ รายได้หลักมาจากสามีที่เป็นบาทหลวง