เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 นายเตหล่อ (นามสมมุติ) ผู้ลี้ภัยชาวคะเรนนี ในศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านในสอย อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวชายขอบ” ถึงกรณีที่ TBC (The Border Consortium) และ IRC (International Rescue Committee) 2 องค์กรสาธารณกุศลระหว่างประเทศ กำลังจะยุติการให้ความช่วยเหลือด้านงบประมาณในค่ายผู้ลี้ภัยจากการสู้รบ(ศูนย์พักพิงชั่วคราว) 9 แห่งบริเวณชายแดนไทย-พม่า ในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ว่าส่งผลกระทบกับคนในค่ายทั้งด้านอาหารและด้านรักษาพยาบาล เนื่องจากที่ผ่านคนในค่ายต้องพึ่งพาข้าวจาก TBC 50% ที่เหลือคือทำงานซื้อเอง โดยกับข้าว ผัก ไปหาเก็บเอาตามป่า ขณะที่สุขภาพต้องพึ่ง IRC เต็ม100%
“ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะหาทางออกกันอย่างไร สำหรับอาหาร บางส่วนอาจต้องออกมาทำงานข้างนอก อาจจะพอหาได้บ้าง บางส่วนก็ขอความช่วยเหลือจากญาติที่ได้ย้ายไปประเทศที่สามแล้ว” นายเตหล่อ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดอย่างไรที่มีข้อเสนอให้คนในค่ายออกไปทำงาน ผู้ลี้ภัยรายนี้กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีเพราะผู้ที่อยู่ในค่ายส่วนใหญ่การศึกษาน้อย ไม่มีความรู้ อยู่บนเส้นพรมแดนและต้องการรายได้เพื่อซื้ออาหารเลี้ยงครอบครัวก็ต้องหางานทำ เพียงแต่ที่ผ่านมาถูกห้ามไม่ให้ออกไปนอกค่ายผู้ลี้ภัย
“แต่หากในอนาคต ประเทศพม่าสงบ พวกเราจำนวนมากก็อยากเดินทางกลับถิ่นฐาน กลับไปบ้านเดิมของเรา แต่ตอนนี้เราไม่มีทางเลือก หากทางการไทยอนุญาตให้ออกไปทำงานได้ ก็ย่อมอยากทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ พวกเราอยากออกมาทำงาน เพื่อมีได้รายได้ อยากเรียนสูงๆ” นายเตหล่อ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานงานว่า ในวันที่ 15 กรกฎาคม ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตในประเทศเทศไทย เช่น สหรัฐฯ จะลงพื้นที่ จ.ตาก เพื่อหารือกับหน่วยงานต่างๆ และเข้าไปดูสถานการณ์ในศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ
นอกจากนี้ในวันที่ 17 กรกฏาคมนี้ ที่อาคารรัฐสภา คณะกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ได้ประชุมและมีวาระพิจารณาศึกษาและติดตามการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากคำสั่งทางการบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯต่อการระงับความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพโยกย้ายถิ่น ผู้หนีภัยการสู้รบและผู้ลี้ภัยในเมือง โดยเชิญเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้ว่าราชการจังหวัดตากเข้าร่วมประชุม
นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน และประธานกมธ. ความมั่นคงแห่งรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ว่า กมธ.มีความกังวลใจว่าเหตุการณ์ยุติความช่วยเหลือนี้ต้องมาถึง เราได้มีเวลาพอสมควรที่รู้ว่าต้องวางแผนจัดการอย่างไร แต่ต้องยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมายังขาดการทำให้เป็นจริง เพราะหากไม่มีนโยบายที่ชัดเจนออกมาก็ยาก
“เราเห็นปัญหานี้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน หากคนในค่ายอยู่ไม่ได้ อาจมีการแหกกค่าย การประชุมของ กมธ.ในวันที่ 17 ไม่ใช่คุยครั้งแรก เราได้มีประสานงานก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่ทางการ ซึ่งคิดว่าทางออกพอมี และไม่กระทบภาษีของประชาชขน คือต้องให้พวกเขาสามารถดำรงชีพอยู่ได้ มีมาตรการควบคุมอื่นๆ ตราบใดที่การไปประเทศที่สามยังไม่เกิด” นายรังสิมันต์ กล่าว
ประธาน กมธ.ความมั่นคงฯกล่าวว่า ข้อเสนอคือต้องสร้างทางเลือกในชีวิตขั้นพื้นฐานให้คนที่อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยสามารถดำรงอยู่ได้ เพราะการจะหวังพึ่งเงินจากชาติต่างๆ หรือ NGO ไม่ใช่เรื่องง่าย และการให้เขาอยู่ร่วมกับสังคมอาจเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา โดยมีการควบคุมอย่างเป็นระบบให้อยู่ในความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ผู้สื่อข่าวถามว่าเหลืออีกกว่า 10 วันการยุติความช่วยเหลือก็จะเกิดขึ้นแล้ว มาตรการต่างๆที่จะนำออกมาใช้จะทันท่วงทีหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ได้หารือกับรัฐบาลมาแล้ว และ กมธ.ได้ส่งข้อสังเกตไปให้รัฐบาลแล้วซึ่งก็คาดหวังว่าจะมีการเตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่ไม่รู้ว่ามากน้อยแค่ไหน
เมื่อถามว่าเท่าที่ประเมินพบว่าความเข้าใจของภาครัฐเป็นอย่างไร นายรังสิมันต์กล่าวว่า ในระดับปฏิบัติต่างเข้าใจดี ซึ่งได้มีการพูดคุยกันไปถึงระดับบนด้วย แต่ผู้ออกนโยบายยังไม่ได้เตรียมความพร้อมเพียงพอ
“ประเทศเราผู้ออกนโยบายเปลี่ยนบ่อยๆ ทำอย่าไรให้ผู้ปฎิบัติได้รับสัญญาณไฟเขียว หากไม่ทำอะไรคือคนเหล่านี้ก็ต้องออกนอกค่ายอยู่ดี การให้เขาอยู่ได้ เราเองก็ต้องมีข้อมูลในระบบว่าเขาอยู่ที่ไหนอย่างไร ทำอะไรอยู่”นายรังสิมันต์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การอธิบายให้สังคมไทยได้เข้าใจผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงควรเป็นอย่างไร สส.พรรคประชาชนกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ขณะนี้ประเทศไทยเป็นสังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์แล้ว เราต้องการแรงงานซึ่งไม่สามารถจะหาคนไทยมาทำงานได้โดยง่าย วิธีการจัดการปัญหานี้ ผู้หนีภัยการสู้รบ แรงงานข้ามชาติ ต้องให้อยู่ในการควบคุมของรัฐ เพื่อให้รู้ว่าคนนั้นอยู่ที่ไหน ทำอะไร เพื่อให้จัดการได้ ทั้งด้านการศึกษา การสาธารณสุข อาชญากรรม เราต้องปฏิบัติกับเพื่อนมนุษย์ทุกคนอย่างเป็นธรรม
เมื่อถามอีกว่า ทำไมค่ายผู้ลี้ภัยเหล่านี้ถึงอยู่มา 40 ปี แต่ไม่มีการแก้ไขปัญหาจริงจัง นายรังสิมันต์กล่าวว่า สภาพการจัดการและสภาพความเป็นจริงสวนทาง นอกจากนี้อาจก่อให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่นได้ เพราะฝืนธรรมชาติที่ทุกคนก็อยากให้ลูกเข้าโรงเรียน ดูแลปากท้อง ดูแลครอบครัวได้ แต่กลับไม่ต่างจากการเป็นสถานที่คุมขัง
“เราต้องยอมรับว่าควรเปลี่ยนจากผู้หนีภัย ให้เป็นอย่างอื่นที่ยุติธรรมกับทุกฝ่าย ประเทศต่างๆ ก็ตอบรับคนเหล่านี้ไปประเทศที่สาม แต่เรากลับไม่ยอมรับ แน่นอน อาจมีปัญหาแต่มีวิธีการในการจัดการคนในค่าย 9 แห่ง เป็นแสนคน ค่ายจะดำรงไปแบบนี้ไม่ได้แล้วหรือเราจะรอให้ค่ายแตกแล้วไปจับไปขัง”นายรังสิมันต์ กล่าว