เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ หรือ “หมอตุ่ย” ผู้อำนวยการ(ผอ.)โรงพยาบาล(รพ.)อุ้มผาง จ.ตาก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกาตัดงบประมาณความช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนทำให้องค์กรสาธารณกุศลคือ TBC (The Border Consortium) และ IRC (International Rescue Committee) ที่ให้การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในศูนย์พักพิงชั่วคราว 9 แห่งบริเวณชายแดนไทย-พม่า ต้องยุติความช่วยเหลือในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ส่งผลในเรื่องของอาหาร ที่อยู่อาศัยและสุขภาพ ของผู้ลี้ภัยราว 100,000 คน ว่าก่อนหน้านี้ IRC ได้ระงับความช่วยเหลือทางสาธารณสุขแล้ว 3 เดือน คือกุมภาพันธ์-เมษายน 2568 ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขได้เข้าไปช่วยเหลือ ต่อมาได้รับแจ้งอย่างชัดเจนแล้วว่าทั้ง 2 องค์กรต้องยุติความช่วยเหลือ เนื่องจากไม่มีเงินสนับสนุนแล้ว ซึ่งทางสหรัฐฯได้ช่วยมานานหลายสิบปีแล้ว เมื่อมีข้อจำกัดเกิดขึ้นก็เข้าใจ โดยโรงพยาบาลใน จ.ตาก ได้เตรียมเข้าดูแลค่ายผู้ลี้ภัย 3 แห่งคือศูนย์พักพิงชั่วคราวอุ้มเปี้ยม นุโพ และบ้านแม่หละ และได้หารือกันมาเรื่อยๆ ซึ่งในวันที่ 21 กรกฎาคม ที่โรงพยาบาล (รพ.) แม่สอด จะมีการจัดประชุมอีกครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาเราได้เตรียมพร้อมมาโดยตลอด
ผอ.รพ.อุ้มผางกล่าวว่า ค่ายใหญ่คือแม่หละนั้น รพ.แม่สอด รพ.ท่าสองยาง จะเข้าไปให้การช่วยเหลือดูแล ขณะที่ รพ.อุ้มผางเข้าไปช่วยเหลือที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวนุโพ ส่วนศูนย์พักพิงอุ้มเปี้ยมนั้น รพ.พบพระเข้าไปดูแล ซึ่งขณะนี้ประเด็นเรื่องสุขภาพไม่น่าเป็นห่วงเท่าเรื่องอาหารซึ่งทาง TBC กำลังยุติการให้ความช่วยเหลือในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้
“ที่น่าหนักใจน่าจะเรื่องอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะไม่กินก็ไม่ได้ ต้องช่วยผลักดันให้พวกเขาได้มีงานทำและมีรายได้ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เรื่องนี้เป็นเรื่องชีวิตของชาวบ้านในค่ายที่ต้องจัดการอย่างรวดเร็ว ปกติคนในค่าย ก็มีโภชนาการที่ไม่ได้ดีอยู่แล้ว หญิงตั้งครรภ์ ได้รับเงินค่าอาหารเพียงเดือนละ 80 บาท หรือตกวันละ 2 บาทกว่าซึ่งน้อยมากอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อถูกตัดค่าอาหารอีก ไม่รู้ว่าพวกเขาจะดำรงชีวิตได้อย่างไร”นพ.วรวิทย์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า รพ.ชายแดนจะนำงบประมาณมาจากไหน เพราะปกติงบประมาณก็ไม่พอใช้อยู่แล้ว ผู้อำนวยการ รพ.อุ้มผางกล่าวว่า รพ.ใน จ.ตาก เอาเงินของแต่ละรพ. มาจัดการเอง โดยสาธารณสุขจังหวัดตากมีข้อมูลอยู่แล้ว 5 อำเภอชายแดน มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ประมาณ 4 ล้านบาทต่อเดือน
“จริงๆแล้ว กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ต้องเป็นเจ้าภาพตั้งกองทุนขึ้นมาดูแล เพราะนี่คือภัยความมั่นคงของชาติด้านสุขภาพ เช่น ผู้ป่วยอหิวาตกโรค วัณโรคดื้อยา ที่มีผลต่อคนทุกคน ไม่ใช่ว่ามีสัญชาติไทยหรือไม่มีสัญชาติ
สธ. ต้องตัดสินใจแล้วว่าจะเอาอย่างไร เพราะใน 3 เดือนที่ผ่านมาเป็นการดูแลเฉพาะหน้า แต่ตอนนี้เราไม่เห็นว่าปัญหาจะยุติได้เมื่อไร อาจเป็นปีๆ ดังนั้น สธ.ต้องเป็นเจ้าภาพขอรับบริจาค ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศก็ได้ หรือให้บริจาคโดยสามารถลดหย่อนภาษี หรือกาชาดก็สามารถมาช่วยได้”นพ.วรวิทย์กล่าว
เมื่อถามว่าคนไทยบางส่วนตั้งคำถามว่าทำไมต้องไปช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเหล่านี้เพราะเห็นว่าเป็นภาระของประเทศไทย นพ.วรวิทย์กล่าวว่า กล่าวว่า ชายแดนมีบริบทแตกต่างจากส่วนกลางคือมีคนสัญชาติไทยและคนไม่มีสัญชาติไทย มีทั้งต่างด้าวแท้และต่างด้าวเทียม โดยในพื้นที่ 5 อำเภอชายแดนตาก เป็นปัญหาผู้ลี้ภัยเพียง 20% เท่านั้นที่อยู่ในศูนย์พักพิง ซึ่งมี NGOs ดูแลมาก่อน ปัญหานี้เรารับมาเพียง 20% ของที่เคยดูแล ไม่เหมือนในเมืองที่คนต่างด้าวน้อย บริบทพื้นที่ชายแดนต้องกลับไปดูประวัติศาสตร์ ตอนแบ่งประเทศกัน สยามไม่ได้ถามคนตรงนี้ว่าจะไปอยู่ประเทศไหน โดยคนกะเหรี่ยงในป่ากลายเป็นคนไม่มีสัญชาติไทยเพราะอยู่ชายขอบ ขณะที่คนกะเหรี่ยงอีกส่วนอยู่ฝั่งพม่าซึ่งต้องเผชิญสถานการณ์ที่แย่มากจากการสู้รบกันมาหลายสิบปี
“ชายแดนตรงนี้ รพ.อุ้มผาง เพิ่งรับเคสผู้ป่วยพิษสุนัขบ้าและเสียชีวิต แปลว่าเขาไม่มีสาธารณสุขเลยในเขตห่างไกล ชาวบ้านลำบากมาก ผมอยู่ชายแดนที่มีหน้าที่ควบคุมโรค จะให้ทำอย่างไร ผมก็รักประเทศไทย แต่จะให้เอาแนวคิดชาตินิยมมาทำงาน หน้างานจริงได้หรือไม่ หลายเดือนที่ผ่านมามีแนวคิดชาตินิยมสุดโต่งออกมาในสื่อโซเชียล บอกว่าเราไม่ยอมรักษาคนไทย รักษาแต่ต่างด้าว จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เรารักษาหมดทุกคน แม้แต่หมาแมวเราก็ยังช่วย ผมเคารพทุกความเห็น เราเห็นต่างกันได้ แต่ต้องไม่แตกแยกกัน แต่ผมเอาความเห็นที่ไม่มีมนุษยธรรม ไม่มีหลักสาธารณสุขมาใช้ไม่ได้” นพ.วรวิทย์ กล่าว
นพ.วรวิทย์กล่าวว่า หากเราไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น เราไม่มีทางไปต่อได้ บางทีความเสียหายย้อนกลับไม่ได้ และจะลุกลามใหญ่โต หากเราไม่ทำตามหลัก เราจินตนาการได้เลยว่าจะเกิดอะไรในอนาคต
“ผมเป็นแนวหน้า กระสุนของผมคือยา ศัตรูคือเชื้อโรค คือความเจ็บป่วย หากไม่มียา ผมจะรักษาใครได้อย่างไร แล้วมนุษเราจะยึดสิ่งสมมุติ เส้นแบ่งเขตแดนอย่างเดียวมันไม่ได้ เชื้อโรคไม่ได้รู้จักเส้นแบ่งแดนนี้ด้วย ผู้ป่วยเป็นวัณโรคแค่หายใจออกมา เชื้อโรคมันก็มาแล้ว ลมพัดไปไหนต่อไหนโดยไม่ต้องมีพาสปอร์ต ยุงที่นำโรคมาลาเรีย หากควบคุมในฝั่งพม่าไม่ได้ ฝั่งเราก็โดนอยู่ดี เราต้องรักษาทุกคน ผมเห็นคนตายไม่ได้ คนคลอดลูกไม่ออกมาหาเราที่โรงพยาบาล เราจะให้เอาบัตรประชาชนมาก่อน รีดเอาเงินแล้วค่อยทำคลอดให้เหรอ มันเป็นจิตสำนึกมนุษยธรรม”นพ.วรวิทย์ กล่าว
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่าให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปติดตามดู ซึ่งเป็นเรื่องนโยบายของสหรัฐฯ ก็ว่ากันไป และเป็นหน้าที่ของเขาที่จะดูแลหรือไม่ดูแล ก็เป็นสิทธิ์ ส่วนเราเองมีหน้าที่ และต้องรู้ว่าภาระของประเทศ ว่าจะรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน หากมีปัญหาต้องดำเนินการแก้ไขไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ
————-