Search

องค์กรภาคประชาชนยื่นหนังสือจี้รัฐอนุญาตผู้ลี้ภัยออกมาทำงานนอกศูนย์พักพิงหาเงินเลี้ยงชีพ แนะจับมือUNHCR ทำฐานข้อมูลผู้ที่ยังไม่อยู่ในระบบ ผอ.TBC เผยนานาชาติอยากช่วยเหลือแต่ขอให้พึ่งพาตัวเองได้

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ความคืบหน้ากรณีที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาตัดงบสนับสนุนองค์กรสาธารณกุศลคือ  TBC (The Border Consortium) และ IRC (International Rescue Committee) ที่ให้การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในศูนย์พักพิงชั่วคราว 9 แห่งบริเวณชายแดนไทย-พม่า ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความช่วยเหลือในเรื่องของอาหาร ที่อยู่อาศัยและสุขภาพของผู้ลี้ภัยราว 100,000 คน ล่าสุดที่อาคารรัฐสภา ผู้แทนภาคประชาสังคมพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาและเครือข่ายคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและแรงงานข้ามชาติได้ร่วมกันยื่นหนังสือถึงประธานคณะกรรมาธิการฯชุดต่างๆ อาทิ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ กมธ.การกฎหมายฯ กมธ.การแรงงาน  เพื่อขอโอกาสให้ผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงชั่วคราวได้ออกมาเป็นทรัพยากรแรงงานที่มีคุณภาพของสังคมไทย

ในหนังสือระบุว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2527 หรือ 41 ปีที่แล้ว ประเทศไทยได้เป็นบ้านหลังที่สอง หรือบ้านแห่งเดียว ของผู้หนีภัยการสู้รบและครอบครัวจากประเทศเมียนมาหลายแสนคน  แม้คนกว่าแสนจะได้รับโอกาสไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สามแล้ว สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่รัฐชาติพันธุ์ติดชายแดนไทย-เมียนมาที่ไม่เคยยุติตลอด 4 ทศวรรษ ก็ส่งผลให้ยังมีผู้ลี้ภัย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยงและคะเรนนี พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว9 แห่งในจ.แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรีอยู่กว่าแสน (107,502 คน,TBC, มิ.ย. 2568) ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่ได้รับการสำรวจบันทึกไว้ในฐานข้อมูล UNHCR – กระทรวงมหาดไทย 80,813 คน

หนังสือระบุว่ารัฐบาลไทยทุกชุดที่ผ่านมาได้บริหารจัดการให้ผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงฯได้รับความช่วยเหลือด้านอาหาร ที่พัก การศึกษา การบริการสุขภาพ และอื่น ๆจากองค์กรมนุษยธรรมนานาชาติและไทยอย่างหลากหลาย อย่างไรก็ดีนโยบายที่ให้ผู้ลี้ภัยอยู่รอดด้วยการพึ่งพา โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายให้ออกไปทำงานเลี้ยงชีพได้นั้น อาจมีความเหมาะสมเพียงสถานการณ์ฉุกเฉินชั่วคราว  มิใช่การพลัดถิ่นฐานอันยืดเยื้อ ดังที่เป็นอยู่ตามข้อเท็จจริงที่ว่า พื้นที่พักพิงฯแต่ละแห่งตั้งอยู่เนิ่นนานมาร่วม 30 ถึงกว่า 40 ปี จนกระทั่งมีประชากรรุ่นลูกเกิด เติบโต และสร้างครอบครัวอยู่ภายในรั้วลวดหนามจนถึงรุ่นหลานแล้ว

“ผู้หนีภัยการสู้รบอย่างน้อยร้อยละ 40 เกิดในประเทศไทย หรือเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในรัฐอื่นใดนอกจากรัฐไทยหรือจะเรียกได้ว่าไทยเป็นบ้านที่แท้จริงของพวกเขาก็ว่าได้  ด้วยเหตุนี้ เมื่อพิจารณาว่า ไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ (completed aged society) แล้ว การเปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยซึ่งมีไทยเป็นบ้านที่สองหรือบ้านหลังเดียวของตน อีกทั้งยังมีตัวตนและที่อยู่-เลขที่บ้านในฐานข้อมูลหรือทะเบียนครัวเรือนของกระทรวงมหาดไทยแล้ว ได้ออกมาเป็นทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทย จึงเป็นทางออกสำหรับวิกฤตมนุษยธรรม และการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างประชากรไปพร้อม ๆ กัน”หนังสือระบุ

หนังสือยังได้ระบุข้อเสนอข้อเสนอแนะดังนี้  1.รัฐบาลไทยควรอนุมัติโครงการนำร่องเพื่อจัดระเบียบการออกมาทำงานของผู้หนีภัยการสู้รบในขอบเขตพื้นที่ชายแดนโดยเร่งด่วน ผู้หนีภัยการสู้รบที่มีบัตรประจำตัวและทะเบียนครัวเรือนในพื้นที่พักพิงฯกับกระทรวงมหาดไทย ควรได้รับอนุญาตให้ออกมาทำงานแบบไป-กลับในพื้นที่ตำบลที่ตั้งพื้นที่พักพิงฯและใกล้เคียงโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการซับซ้อน

2.รูปแบบการจัดการควรมาจากการปรึกษาหารือระหว่างรัฐกับนายจ้าง องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรมนุษยธรรม และภาคประชาสังคมผู้ลี้ภัยในแต่ละท้องถิ่น 3.ระบบการจ้างงานจะต้องมีขั้นตอนน้อยที่สุดและไม่คิดค่าธรรมเนียมการทำบัตรประจำตัวกับใบอนุญาตทำงานจากผู้หนีภัยการสู้รบ ซึ่งมีตัวตนกับที่อยู่ในฐานข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยแล้ว

4. รัฐบาลควรส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนในการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในพื้นที่พักพิงฯทุกแห่ง 5.รัฐบาลควรประสานความร่วมมือกับ UNHCR เปิดการสำรวจ คัดกรอง ทำฐานข้อมูลทางทะเบียนให้แก่ผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงฯ ที่ยังไม่ได้อยู่ในระบบทั้งหมด มิให้ต้องเป็นประชากรแฝงอยู่ต่อไป

ด้านนาย Leon de Riedmatten ผู้อำนวยการบริหาร TBC (The Border Consortium) ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวชายขอบ ถึงสาเหตุของการยุติความช่วยเหลือ ว่าข้าวและน้ำมันที่มาจากการบริจาคของรัฐบาลสหรัฐ ขณะนี้หมดสัญญาแล้ว และยังไม่มีสัญญาณว่าจะได้มีการบริจาคให้อีกหรือไม่อย่างไร ประเทศผู้บริจาคอื่นๆ ก็ยังไม่มีแจ้งมา

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้เตรียมแผนรองรับก่อนยุติความช่วยเหลือไว้อย่างไร นายลีอองตอบว่าผู้ลี้ภัย และคณะกรรมการในค่ายได้เตรียมการว่าจะทำอย่างไรที่จะพึ่งตนเองให้ได้ โดยหารือกับหน่วยงานรัฐไทย และได้เสนอไป แต่ก็ยังไม่มีทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้

“สำหรับทางออกที่เสนอ จะยากมากๆ แต่ต้องทำให้ได้ จากข้างนอกเราได้พยายามจัดหาผู้บริจาคเท่าที่มีเพื่อให้พอสนับสนุนข้าวสำหรับกลุ่มเปราะบาง และมีข้อเสนอขอให้ผู้ลี้ภัยสามารถออกไปทำงานข้างนอกได้เพื่อให้มีรายได้ หรืออาจเป็นงานที่ส่งเข้ามาให้ทำในค่ายก็ได้ แม้จะไม่ใช่เงินมากแต่พอให้มี พยายามติดต่อบริษัทก็มีที่อยากมาบริจาคด้วย เราลดการให้อาหารแก่ผู้ลี้ภัยมานานแล้ว อยากให้ชุมชนสามารถช่วยเหลือตนเองได้ และหาจากเครือข่ายต่างๆ นอกประเทศด้วย ให้มาช่วยสนับสนุน คือทำทุกอย่างที่ทำได้”นาย Leon de Riedmatten กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าการแก้ปัญหาค่ายผู้ลี้ภัยประสบปัญหาอะไรถึงยืดเยื้อมา 40 ปี นาย Leon de Riedmatten กล่าวว่าถือว่าช้ามากในการแก้ปัญหาศูนย์พักพิงชั่วคราวที่อยู่มานาน นี่อาจเป็นทางออกของปัญหานี้ก็ได้ เรื่องเถื่อนๆ ต่างๆ ที่เคยมีมาอาจจะได้หมดไป

“เราต้องทำให้พวกเขาช่วยตนเองได้ ไม่ใช่พึ่งพาการบริจาคแบบนี้ ทำยังไงให้สามารถมีเอกสารให้ผู้ลี้ภัยสามารถออกไปทำงานได้ ให้มีระบบรายงานตนว่าไปทำงานอยู่ตรงไหน และให้สามารถจัดการชีวิตตนเองได้ เป็นสิ่งที่ต้องช่วยกันเพื่อเป็นโครงสร้างใหม่ สำหรับการช่วยเหลือเฉพาะหน้า ก็ทำให้ดีที่สุดจนกว่าจะถึงวันนั้น และขอร้องให้ทางการไทยพิจารณาข้อเสนอ เพราะไม่มีทางอื่นอีกแล้ว นอกจากให้ผู้ลี้ภัยได้มีรายได้เลี้ยงตนเอง”ผู้อำนวยการบริหาร TBC กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าสังคมโลกควรเข้ามาช่วยเหลือด้วยหรือไม่แทนที่จะปล่อยให้เป็นภาระของประเทศไทย  นาย Leon de Riedmatten กล่าวว่า คงจะมีการช่วยเหลือมาทดแทนในเรื่องสุขภาพ จากการประชุมสัปดาห์นี้ก็มีประเทศผู้บริจาคที่เสนอจะช่วยเรื่องสุขภาพ แต่เรื่องอาหารไม่มีใครสนใจเท่าไหร่ ประเทศนานาชาติบอกว่าหากมีแผนชัดเจนว่าให้ผู้ลี้ภัยพึ่งตนเองได้อย่างไร ก็อาจร่วมช่วยด้วย เช่น โครงการสร้างอาชีพ 3 ปี แต่หากให้มาจ่ายค่าข้าวแทนสหรัฐ อีก 20 ปีเขาก็ไม่เอา

—————-

On Key

Related Posts

เร่งแก้ไขน้ำประปาปนเปื้อน 18 หมู่บ้าน นายก อบจ.เชียงรายเผยระบบไม่ได้มาตรฐาน-เตรียมปรับปรุงเพิ่ม-คพ.ส่งทีมตรวจลงพื้นที่ตรวจสอบทั้งหมด-เบื้องต้น 3 หมู่บ้านไม่พบสารโลหะหนัก-สำรวจหาแหล่งน้ำสะอาดแห่งใหม่