Search

ในความเป็นมนุษย์ในค่ายผู้ลี้ภัย 9 แห่งในมุมมอง “หมอตุ่ย”

โดย ภาสกร จำลองราช

อีกเพียงแค่ 11 วัน การให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร-ที่อยู่อาศัย และการดูแลสุขภาพ ภายในค่ายผู้ลี้ภัยจากการสู้รบ(ศูนย์พักพิงชั่วคราว) 9 แห่งใน 4 จังหวัดชายแดนไทย-พม่า จะสิ้นสุดลง ภายหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาตัดงบประมาณสนับสนุน 2 องค์กรสาธารณกุศลระหว่างประเทศคือ TBC (The Border Consortium) ที่ให้เงินช่วยเหลือด้านอาหารและที่อยู่อาศัยและ IRC (International Rescue Committee)ที่ช่วยเหลือด้านสุขภาพ

นั่นหมายความว่ามนุษย์ไม่ต่ำกว่า 1 แสนคนกำลังจะไม่มีปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต เพราะคนกลุ่มนี้เป็นเสมือนผู้ถูกกักกันที่ต้องอยู่ภายในค่ายพักพิงมายาวนาน 40 ปี แม้ในความเป็นจริงพวกเขาสามารถลักลอบออกมาทำงานข้างนอกโดยจ่ายค่าหัวคิวให้กับเจ้าหน้าที่รัฐไทยก็ตาม

“ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในขณะนี้คือเรื่องอาหาร เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะสำหรับเด็กเล็กและกลุ่มเปราะบาง หากขาดอาหารย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิต” นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ หรือ “หมอตุ่ย” ผู้อำนายการโรงพยาบาลอุ้มผาง อ.อุ้มผาง จ.ตาก แสดงความห่วงใยในปัญหาเร่งด่วนที่กำลังเผชิญ
“การรักษาพยาบาล หากไม่เจ็บป่วยก็อาจพอเลื่อนได้ แต่เรื่องอาหารไม่สามารถรอได้ จึงควรได้รับความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ ผมขอเสนอให้ดำเนินการเร่งด่วนด้านอาหารและโภชนาการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตในกลุ่มเปราะบาง”

กว่า 30 ปีที่อุทิศให้กับงานด้านสุขภาพในชุมชนชายแดน ทำให้ นพ.วรวิทย์ มองความมั่นคงที่ไปไกลกว่าเรื่องเขตแดน เพราะเชื้อโรคไม่รู้จักพรมแดน

“มนุษย์ไม่ควรยึดติดสิ่งสมมุติเช่นเส้นเขตแดน เชื้อโรคไม่สนแดน วัณโรคไม่ต้องใช้พาสปอร์ต ลมพัดข้ามแดน เชื้อก็พัดเข้ามา ยุงมาลาเรียบินไปได้ทุกที่ ถ้าควบคุมโรคจากฝั่งเมียนมาไม่ได้ ฝั่งเราก็โดน บางโรค เช่น มาลาเรียค่ารักษาอาจไม่แพงแต่ถึงตายได้ อหิวาตกโรค ถ่ายเหลวไม่กี่ครั้งก็ตายได้

“ถ้าเห็นคนจะคลอด คุณจะตรวจบัตรประชาชนก่อนหรือ ไม่มีเงินจะไม่ผ่าตัดให้หรือ ผมเชื่อว่าไม่มีใครทำใจแบบนั้นได้ สุดท้ายมันคือเซนส์ของมนุษย์ ใครเห็นเองจะเข้าใจ”

นับตั้งแต่มีปลายเดือนมกราคม 2568 มีสัญญาณเตือนจาก IRC ถึงการปรับลดความช่วยเหลือด้านสุขภาพในค่ายผู้ลี้ภัย นพ.วรวิทย์ในฐานพี่ใหญ่ของหมอชายแดน 5 อำเภอ จ.ตาก ได้เข้าๆออกๆค่ายผู้ลี้ภัยและประชุมหารือกันอยู่เสมอ เพื่อวางระบบด้านสาธารณสุขให้กับคนในค่าย โดย รพ.อุ้มผางรับผิดชอบค่ายนุโพ ขณะที่ค่ายพักพิงแม่หละซึ่งเป็นค่ายใหญ่มีผู้ลี้ภัยหลายหมื่นคนอยู่ในความดูแลของ รพ.ท่าสองยางและแม่สอด ส่วนค่ายอุ้มเปี้ยมอยู่ในความดูแลของ รพ.พบพระ

“ในการประชุมช่วงพฤษภาคม-มิถุนายนที่ผ่านมา เราได้จัดทำแผนและข้อเสนอส่งให้คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยชี้แจงปัญหาและความจำเป็นในพื้นที่ชายแดน ขณะเดียวกัน รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง และรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ด้วยตนเอง เรายังวางแผนระยะยาวควบคู่กัน โดยเฉพาะเรื่องอาหารที่ยังต้องจัดหางบเพิ่มเติม พร้อมเสนอว่าหาก TBC ยุติงาน ควรมีการเปลี่ยนผ่านที่เหมาะสม เช่น ให้คนในศูนย์มีบทบาทมากขึ้น เพื่อสร้างรายได้และพึ่งพาตนเองในระยะยาว

“ด้านบริการสุขภาพ ผมเชื่อว่าคนในศูนย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถซื้อหลักประกันสุขภาพหรือจ่ายค่ารักษาได้ โรงพยาบาลในพื้นที่จึงยังต้องให้บริการฟรีเช่นเดิม และตั้งแต่ 1 สิงหาคมนี้ เราจะจัดทีมสาธารณสุขของรัฐเข้าไปดูแลแทนหน่วยงานเดิม เพื่อให้ความช่วยเหลือไม่ให้สะดุด เราต้องจัดทำแผนให้ชัดเจน

“สำหรับศูนย์พักพิงนุโพ ผมได้เตรียมการเบื้องต้นไว้แล้วและหารือกับทีมงานคร่าว ๆ ว่าจะดำเนินการเรื่องใดบ้าง คาดว่าจะเริ่มลงพื้นที่ได้หลังวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ เรามีความพร้อม โดยเฉพาะเรื่องยา เราจะสำรวจรายการและสต๊อกยาที่มีอยู่ และสอบถาม IRC ว่าสามารถจัดสรรให้ได้มากน้อยเพียงใด หากไม่เพียงพอเราจะจัดเตรียมเพิ่มเติมจากทางโรงพยาบาล”หมอตุ่ยและบุคลากรสาธารณสุขเมืองชายแดนสะท้อนความมุ่งมั่น

นพ.วรวิทย์กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขควรเป็นเจ้าภาพจัดตั้งกองทุนดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุขสำหรับผู้อยู่อาศัยในศูนย์อพยพ เพราะกรณีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องมนุษยธรรมหรือผู้ไร้สัญชาติเท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ เพราะผู้ลี้ภัยมีความเสี่ยงต่อโรคติดต่อร้ายแรง เช่น อหิวาตกโรค วัณโรค หรือวัณโรคดื้อยา ซึ่งอาจแพร่สู่ประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้มีสัญชาติไทย จึงต้องมีการจัดการเชิงระบบเพื่อป้องกันโรคระบาดและลดความเสี่ยงต่อสาธารณสุข

“เมื่อปัญหานี้กระทบต่อความมั่นคงด้านสุขภาพ รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ หน่วยงานที่มีงบประมาณสูง เช่น สปสช. อาจเข้ามาสนับสนุน แม้ไม่ดูแลการรักษาโดยตรง แต่สามารถช่วยเรื่องควบคุมโรค จัดหาวัคซีน หรือดูแลหญิงตั้งครรภ์ใกล้คลอด ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนและเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิต

“ผมขอเสนอให้รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข เป็นเจ้าภาพจัดตั้งกองทุนกลางดูแลผู้ประสบปัญหาสัญชาติทั่วประเทศ พร้อมจัดสรรงบให้สถานพยาบาลในแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน เพื่อลดภาระโรงพยาบาล โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนที่กำลังเผชิญวิกฤตการเงิน

“ช่วงกุมภาพันธ์–เมษายนที่ผ่านมา รพ.หลายแห่งได้ดำเนินการดูแลแบบเฉพาะหน้า แต่ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าสถานการณ์จะยุติเมื่อใด อาจลากยาวอีกสิบปี จึงจำเป็นต้องมีการดูแลระยะยาว กองทุนนี้สามารถเปิดรับบริจาคทั้งในและต่างประเทศ หากสามารถลดหย่อนภาษีได้สองเท่าก็จะจูงใจผู้บริจาคมากขึ้น หรืออาจให้สภากาชาดไทยช่วยระดมทุน ซึ่งที่ผ่านมากาชาดก็ให้การสนับสนุนทั้งยาและวัคซีนอยู่แล้ว”

ที่ผ่านมามักเกิดกระแสดราม่าในโลกโซเชียลอยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับเพื่อนบ้านที่อยู่ในประเทศไทย มีการปลุกเร้าจากคนไทยบางกลุ่มที่มองว่าคนจากเพื่อนบ้านเข้ามาสร้างภาระและแย่งชิงทรัพยากรของคนไทย ซึ่งหลายครั้งที่ นพ.วรวิทย์พยายามอธิบายถึงความเชื่อมโยงและคุณค่าของเพื่อนมนุษย์

“ผมก็เป็นคนไทยและรักชาติเช่นกัน แต่ชาตินิยมใช้กับหน้างานจริงได้ไหม? ผมต้องพูดตรง ๆ ว่าไม่ได้ ที่ผ่านมาในโลกโซเชียลคนบางกลุ่มยึดแนวชาตินิยมรุนแรง บอกว่าเรารักษาคนนั้นแต่ไม่รักษาคนนี้ มันไม่ใช่เลย เรารักษาทุกคน เพราะเราเป็นหมอ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีสัญชาติก็ตาม ความเห็นต่างเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราต้องไม่แตกแยกกัน อาจคิดไม่เหมือนกันได้ แต่หน้างานจริง โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน เราไม่สามารถใช้แนวคิดที่ขัดกับหลักมนุษยธรรมหรือหลักสาธารณสุขได้

“สุดท้ายผมในฐานะเจ้าหน้าที่ต้องตัดสินใจและรับผิดชอบ ไม่ใช่คนในโซเชียลที่แสดงความคิดเห็นโดยไม่ต้องรับผล การดูแลคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ต้องยึดหลักมนุษยธรรม ถ้าเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพไม่ยึดหลักนี้ แล้วจะยึดอะไร? ถ้าเอาเงินหรือกฎเกณฑ์มาก่อน ก็ไม่ต่างจากภาคเอกชน ทั้งที่เราคือรัฐ ถ้าขาดมนุษยธรรม เราก็เป็นแค่คน ไม่ใช่มนุษย์ เพราะมนุษยธรรมคือสิ่งธรรมดาที่มนุษย์พึงทำต่อกัน ใครที่มีจิตใจพัฒนาขึ้นจะเข้าใจเอง มันคือสามัญสำนึก หลักการแพทย์ก็เช่นกัน”

ผู้อำนวยการ รพ.อุ้มผางกล่าวว่า ชายแดนมีทั้งคนมีสัญชาติไทยกับไม่มีสัญชาติไทยปะปนกัน โดยคนไม่มีสัญชาติไทยก็มีทั้งที่เป็นต่างด้าวแท้กับต่างด้าวเทียม ซึ่งปัญห 5 อำเภอชายแดนของจังหวัดตาก มีประมาณ 20% เท่านั้นที่ไม่มีสัญชาติไทยและอยู่ในศูนย์ ส่วนคนไม่มีสัญชาติไทยที่ไม่ได้อยู่ในศูนย์ ที่เป็นปัญหาหลัก มีประมาณ 80% แล้วเขาก็ยากจนเหมือนๆกัน คนในศูนย์มีแค่ 20% ซึ่งเคยมี NGO ดูแล ถ้าเรารับเพิ่ม ก็แค่เพิ่มจากฐานเดิมอีก 20% เท่านั้น

“ผมเคยบอกไปแล้วว่าตกเดือนละประมาณ 4 ล้านบาท ถ้ามองบริบทแบบนี้ มันก็ชัดเจนว่าคนมันปะปนกัน ไม่เหมือนในเมือง อย่างฝั่งตะวันออกของจังหวัดตากมีคนต่างด้าวน้อยมาก

“บริบทชายแดนต้องมองย้อนกลับไปถึงประวัติศาสตร์ตอนสยามกับพม่าแบ่งเขตกัน อังกฤษเป็นคนกำหนด แต่ไม่ได้ถามคนที่อยู่ตรงกลางคือคนกะเหรี่ยงเลย เขาก็ไม่ได้เลือกว่าจะอยู่ฝั่งไหน พอเส้นแบ่งเขตถูกลากผ่าน คนกะเหรี่ยงก็ถูกแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งสยามอยู่ในป่า ไม่มีทะเบียนเกิด ไม่มีหมอหรือโรงพยาบาล เกิดจากหมอตำแย รอดบ้าง ตายบ้าง โตมาเป็นคนไม่มีสัญชาติ อยู่ตามชายแดนชายขอบ ส่วนฝั่งพม่ายิ่งหนัก เขาสู้รบกันมาเกือบ 80 ปีแล้วระบบพื้นฐานอะไรเขาก็ไม่มีเลย ทั้งสาธารณสุข การแพทย์ การศึกษา เขาแย่กว่าไทยอย่างน้อย 30 ปี

“พื้นที่อุ้มผางเพิ่งเจอเคสผู้เสียชีวิตด้วยพิษสุนัขบ้า แปลว่าไม่มีระบบดูแลสุขภาพเลย เดือนก่อนก็เจอวัณโรคดื้อยาแรง 3 ราย ต้องรับเข้าระบบทั้งหมด เพราะฝั่งโน้น โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล เขาจัดการอะไรไม่ได้เลย

“คนชายแดนลำบาก ไม่มีระบบการศึกษา ลูกหลานไม่ได้เรียน กะเหรี่ยงฝั่งไทยหลายคนกลายเป็นต่างด้าวเทียม ได้แค่บัตร

“เราปล่อยผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาไม่ได้ วัณโรคธรรมดารักษาไม่กี่พันบาทได้ในหกเดือน แต่วัณโรคดื้อยาเริ่มต้นที่ 2 แสนบาท ต้องรักษา 18–24 เดือน หรืออาจตลอดชีวิต ถ้าไม่รักษา คนเดียวอาจแพร่เชื้ออีกสิบคน แล้วจะควบคุมอย่างไร หากเขาหนีไป โรคก็แพร่ จะควบคุมไม่ทัน

“ถ้าไม่เริ่มจากสิ่งที่ถูกต้อง ปัญหาจะลุกลาม เหมือนเราติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดอื่นก็ผิดตามและจะแก้ไม่ทันซึ่งเจ้าหน้าที่อย่างเราคาดการณ์ได้ ถ้าไม่ยึดหลักสาธารณสุข โรคจะระบาดและหนักกว่าที่คิด ผมเคยเปรียบเทียบให้อาจารย์ที่ดูแลเรื่องงบประมาณฟังว่า ผมเหมือนทหารแนวหน้า กระสุนของผมคือยาและเวชภัณฑ์ ถ้าไม่มีกระสุน ผมจะรักษาคนอย่างไร” หมอตุ่ยอธิบายให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนสถานการณ์ขณะนี้หลายฝ่ายพยายามผลักดันให้รัฐบาลผ่อนปรนเพื่อให้ผู้ลี้ภัยในศูนย์พักพิงออกมาทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเองได้โดยอยู่ในกรอบพื้นที่ที่กำหนด ซึ่งสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)มีท่าทีเห็นด้วย ในขณะที่ผู้ลี้ภัยในค่ายต่างกำลังลุ้นระทึกและนับเวลาถอยหลังเพราะเหลือเพียงไม่กี่วันที่ความช่วยเหลือจาก TBC และ IRC ยุติลง

สถานการณ์ขณะนี้หลายฝ่ายพยายามผลักดันให้รัฐบาลผ่อนปรนเพื่อให้ผู้ลี้ภัยในศูนย์พักพิงออกมาทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเองได้โดยอยู่ในกรอบพื้นที่ที่กำหนด ซึ่งสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)มีท่าทีเห็นด้วย ในขณะที่ผู้ลี้ภัยในค่ายต่างกำลังลุ้นระทึกและนับเวลาถอยหลังเพราะเหลือเพียงไม่กี่วันที่ความช่วยเหลือจาก TBC และ IRC ยุติลง

On Key

Related Posts

เร่งแก้ไขน้ำประปาปนเปื้อน 18 หมู่บ้าน นายก อบจ.เชียงรายเผยระบบไม่ได้มาตรฐาน-เตรียมปรับปรุงเพิ่ม-คพ.ส่งทีมตรวจลงพื้นที่ตรวจสอบทั้งหมด-เบื้องต้น 3 หมู่บ้านไม่พบสารโลหะหนัก-สำรวจหาแหล่งน้ำสะอาดแห่งใหม่