สำนักข่าว Mizzima รายงานเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ว่า ขณะนี้ได้เกิดโรคไข้เลือดออกระบาดอย่างหนักตามวัดในเมืองชิดต่วย เมืองหลวงรัฐอาระกัน ซึ่งถูกใช้เป็นศูนย์พักพิงให้กับชาวบ้านที่ถูกกองทัพพม่าบังคับให้ย้านถิ่นฐาน โดยมีเด็กๆอายุต่ำกว่า 10 ขวบ มากกว่า 30 รายกำลังป่วยเป็นไข้เลือดออก และกำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลในพื้นที่
ทั้งนี้จากข้อมูลในปี 2566 และ 2567 มีผู้เสียชีวิตจากไข้เลือดออกทั้งในเมืองชิตต่วยและตามหมู่บ้านใกล้เคียงกัน นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เป็นต้นมา ประชากรของเมืองชิตต่วยเหลืออยู่เพียงประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรเดิมเท่านั้น เนื่องจากกองทัพพม่าได้บังคับให้ชาวยะไข่รอบๆเมืองชิตต่วย 20 หมู่บ้านอพยพออกจากหมู่บ้าน รวมถึงหมู่บ้านปะดะเลก หมู่บ้านเยชานปวิ่น และหมู่บ้านปะหยิ่นผิ่ว ไปยังพื้นที่ตอนกลางของเมืองซิตต่วย
ปัจจุบันครอบครัวผู้พลัดถิ่นชาวยะไข่เหล่านี้ไม่สามารถประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม หรือหาปลาที่เคยทำกันมายาวนาน แต่พวกเขาต้องอาศัยอยู่ในค่ายบรรเทาทุกข์และตามวัดที่แออัดยัดเยียด ภายใต้สภาพที่เลวร้ายนี้เอง ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนอาหาร สุขอนามัยที่ย่ำแย่ และปัญหาโรคระบาดอื่นๆแพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง
“มีร้านขายยามากมาย แต่คนส่วนใหญ่ไม่มีเงินซื้อ ยาพาราเซตามอลที่เคยราคา 200 จั๊ต (ราว 1 .48 บาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืด) ตอนนี้ขายกันในราคาเม็ดละ 500 จั้ต (ราว 4 บาท) ซึ่งราคานี้แพงมาก” ชาวเมืองซิตต่วยรายหนึ่งกล่าว ขณะที่ไข้เลือดออก ซึ่งเป็นโรคไวรัสที่แพร่กระจายโดยยุงลาย จะระบาดหนักในช่วงต้นและกลางฤดูมรสุม ผู้ป่วยอาการรุนแรงอาจทำให้เลือดออกภายในและเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็ก สตรีมีครรภ์ และผู้สูงอายุ
แม้จะมีวิกฤตด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง แต่ทางการพม่าก็ไม่ได้จัดหาอาหารหรือความช่วยเหลือทางการแพทย์ให้กับชาวบ้านที่ถูกบังคับให้อพยพย้ายถิ่นฐานเหล่านี้ และชาวบ้านต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากผู้บริจาคในท้องถิ่นและกลุ่มประชาสังคมที่มีอย่างจำกัด
เมืองชิตต่วยยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพพม่า ต่างจากเมืองส่วนใหญ่ของรัฐอาระกันที่ตอนนี้ตกไปอยู่ในการควบคุมของกองกำลังอาระกัน (Arakan Army – AA) ปัญหาความมั่นคงทางอาหารที่เลวร้ายลงต่อเนื่อง ทำให้หลายครอบครัวตกอยู่ในภาวะวิกฤต
มีรายงานจากในพื้นที่ชี้ให้เห็นว่า บางครอบครัวได้ปลิดชีพตนเองเนื่องจากไม่สามารถทนต่อความอดอยาก สอดคล้องกับสำนักข่าวท้องถิ่น Narinjara ที่รายงานเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 เช่นเดียวกันว่า การทำให้ประชาชนในเมืองชิตต่วยอดอยากอาจเป็นแผนการให้ชาวบ้านออกมาต่อต้านและกล่าวโทษกองกำลังอาระกัน
สื่อท้องถิ่นยังรายงานว่า เมืองซิตต่วยกำลังเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมเช่นการลักขโมย การปล้น และการค้าประเวณีที่เพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินอยู่ในรัฐยะไข่หรือรัฐอาระกัน
“มีเพียงคนกลุ่มน้อยในซิตต่วยเท่านั้นที่ยังสามารถอยู่อย่างสงบสุขและขับรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์หรูๆได้ ผู้ที่มีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับกองทัพพม่าก็ยิ่งมีฐานะที่ดีกว่า ส่วนคนทั่วไปก็ยากจนอยู่แล้วและมีรายได้น้อย ชาวบ้านที่ถูกขับไล่จากชนบทให้เข้าเมืองต่างก็กำลังเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก ในเวลานี้ ผู้ชายหันไปลักขโมย และเด็กสาวถูกบังคับให้ขายบริการทางเพศ พวกเขาทำเช่นนี้เพราะสิ้นหวัง และเมื่อความยากจนมาเยือน บางคนเป็นคนซื่อสัตย์ แต่พวกเขากลับถูกบังคับให้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม” นักเคลื่อนไหวในพื้นที่กล่าว
“ก่อนหน้านี้ เราทำงานหลากหลายสาขาอาชีพ ทั้งงานใช้แรงงาน เก็บขยะ ขายของในตลาด และตกปลาตอนกลางคืน เราอาจหาเงินได้พอประทังชีวิตในแต่ละวัน แต่ตอนนี้เราไม่มีที่ไป หรือไม่มีงานทำ เราอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ขโมยหรือขออาหาร ฉันรู้สึกอาย แต่ทั้งฉันและลูกสาวต้องทำเพื่อดำรงชีวิต สามีฉันจากไปแล้ว” หญิงรายหนึ่งจากเมืองมรัคอู ซึ่งขณะนี้อาศัยอยู่ในเมืองชิตต่วยกล่าวเสริม
ชาวยะไข่รายหนึ่งที่อาศัยอยู่ต่างประเทศและยังคงติดต่อกับผู้คนในเมืองซิตต่วย ก็ได้แสดงความกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองชิตต่วย
“ผมได้ยินมาว่าบางครอบครัวในเมืองซิตต่วยต้องการอาหารมาก จนต้องแลกลูกสาวกับข้าวสารหนึ่งกระสอบหรือเงินหนึ่งแสนจั้ต (ราว 740 บาท ) นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมาก” ชาวยะไข่ กล่าว





