จตุพร สุสวดโม้

เกือบหนึ่งแสนชีวิตของแรงงานเมียนมาที่กระจายตัวอยู่ทั่วเกาะสมุย พวกเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนกับความท้าทายหลากหลายมิติ ทั้งเรื่องปากท้อง การเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน รวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่าง ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและข้อจำกัดมากมาย โดยพุทธศาสนาเป็นเสาหลักทางจิตวิญญาณและศูนย์รวมใจที่สำคัญยิ่งสำหรับพวกเขา
ในมุมของ พระอาจารย์วิจิตรอังกอ ซายาดอว์ ประธานสงฆ์ในวัด Dhamma Dipa Angor เกาะสมุย ซึ่งเป็นที่พึ่งทางใจสำหรับผู้พลัดถิ่น
“พุทธศาสนาเป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยให้ผู้ที่อยู่ห่างไกลบ้านได้รวมกลุ่มกัน รวมถึงช่วยบรรเทาความเจ็บปวดทางจิตใจ ความไม่สบายใจ และความโดดเดี่ยวที่พวกเขาเผชิญ” ท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

จังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีจำนวนแรงงานข้ามชาติสูง โดยข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานจัดหางานจังหวัดสุราษฎร์ธานี ระบุว่า มีแรงงานข้ามชาติสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชาที่ทำงานถูกกฎหมายรวม 73,996 คน แต่มีการประมาณการว่ามีแรงงานนอกระบบในจังหวัดสุราษฎร์ธานีสูงถึง 109,892 คน
สำหรับเกาะสมุยซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของเมืองสุราษฎร์ฯ คาดว่ามีแรงงานข้ามชาติมากกว่า 77,528 คน ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของแรงงานข้ามชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยังเป็นความท้าทายในการบริหารจัดการดูแลสวัสดิการแรงงานด้วย
แรงจูงใจสำคัญที่ผลักดันให้แรงงานเมียนมาเข้ามาทำงานพื้นที่เกาะสมุย คือค่าแรงที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศบ้านเกิด รายได้ในประเทศไทยสูงกว่าในเมียนมาถึง 5 เท่า โดยค่าแรงขั้นต่ำของเมียนมาอยู่ที่ประมาณ 70 บาทต่อวัน ขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 363 บาทต่อวัน (อ้างอิงข้อมูลค่าแรงขั้นต่ำ ณ วันที่ 1 มกราคม 2567) นอกจากนี้ความไม่สงบภายในเมียนมา ยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้แรงงานจำนวนมากต้องออกมาแสวงหาโอกาสและชีวิตที่ดีขึ้นในต่างแดน
แม้เกาะสมุยเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีความต้องการแรงงานสูง โดยเฉพาะในภาคบริการและก่อสร้าง แต่แรงงานเมียนมาจำนวนมากบนเกาะสมุยยังคงเผชิญกับความท้าทายในการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ
“แรงงานเมียนมาบนเกาะสมุยส่วนใหญ่ทำงานใช้กำลังแรงงานเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง งานทำความสะอาดบ้าน พนักงานร้านอาหาร งานเกษตรกรรม พวกเขาทำงานหนักมาก” พระอาจารย์วิจิตรเล่าถึงชีวิตประจำวันของญาติโยมที่มาพึ่งใบบุญวัด
ในแต่ละวัน หลังจากการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย แรงงานเหล่านี้มักจะมารวมตัวกันบริเวณวัด เพื่อทำบุญ ฟังธรรม และนั่งสมาธิเพื่อฝึกฝนภายใน วัดจึงไม่ใช่แค่สถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แต่ยังเป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นชุมชนขนาดย่อมที่พวกเขาสามารถแบ่งปันความทุกข์สุข พักผ่อน และค้นหาความสงบภายใน ท่ามกลางความวุ่นวายของการดิ้นรนในชีวิตประจำวัน
“โดยหลักแล้ว อาตมาชอบสอนธรรมะและการทำสมาธิ และเลือกสิ่งที่อาตมาเข้าใจ อาตมาเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยปรับเปลี่ยนพวกเขาให้เข้าใจกฎระเบียบของประเทศไทย ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ขยันทำงาน และใช้ชีวิตในที่ที่อาศัยอยู่ให้ดีขึ้น” พระอาจารย์วิจิตรกล่าวถึงแนวทางในการอบรมสั่งสอนญาติโยม
ขณะเดียวกันพระอาจารย์วิจิตร ได้ให้ความสำคัญเรื่องการศึกษาของลูกหลานแรงงานข้ามชาติเป็นอย่างมาก
“เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว เด็กที่เกิดในประเทศไทยหลายคนได้รับการสอนให้อ่านภาษาเมียนมาได้ แต่ตอนนี้เด็กเมียนมาส่วนใหญ่เรียนในโรงเรียนของไทย การเรียนการสอนพิเศษ (ภาษาเมียนมา) เหลือน้อยมาก
เด็ก ๆ ส่วนใหญ่มีหลักฐานการเกิดจากโรงพยาบาล ตอนนี้ก็มีบัตรนักเรียน” พระอาจารย์วิจิตรกล่าวถึงเอกสารสำคัญที่ช่วยยืนยันสถานะและสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาของเด็ก ๆ
แม้ว่าศาสนาจะเป็นที่พึ่งสำคัญ แต่แรงงานข้ามชาติยังคงต้องเผชิญกับข้อจำกัดและอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของสิทธิและความเท่าเทียม
“การเข้าใจเรื่องความเท่าเทียมกันของภาครัฐบาลกับพลเมืองไทยมันแตกต่างกัน” พระอาจารย์วิจิตรกล่าวอย่าง ยอมรับถึงความจริงที่ว่า แรงงานข้ามชาติยังคงไม่ได้รับสิทธิและสวัสดิการเท่าเทียมกับคนไทย
ตาน ซอ (นามสมมุติ) หญิงวัย 30 ปี ทำงานเป็นแม่บ้านในโรงแรมแห่งหนึ่งในสมุย เธอตัดสินใจหนีจากสถานการณ์การสู้รบในเมียนมามายังประเทศไทยพร้อมกับลูกสาววัย 7 ขวบ โดยมีความหวังให้ลูกสาวได้เข้าเรียนในโรงเรียนไทย แม้ตอนแรกจะมีความกังวลว่าลูกจะไม่สามารถปรับตัวได้ แต่ครูและเพื่อนๆ ก็ใจดีมาก เธอมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่อยากให้ลูกสาวได้รับการศึกษาที่ดีกว่าที่เธอเคยได้รับ แม้ตัวเธอเองจะพูดภาษาไทยไม่เก่ง แต่ก็พยายามเรียนรู้ เพื่อให้สามารถสื่อสารกับครูที่โรงเรียนได้บ้าง
ในวันหยุด ตาน ซอ และลูกสาวมักจะมาทำบุญที่วัด ซึ่งเป็นสถานที่ที่ช่วยเยียวยาจิตใจของเธอ
“การได้มาวัดทำให้ฉันรู้สึกสงบ ได้สวดมนต์ นั่งสมาธิ ทำให้ใจเย็นลงเยอะเลย” วัดแห่งนี้จึงเสมือนเป็นพื้นที่ทางใจในยามที่เธอคิดถึงบ้าน และเป็นที่พึ่งพิงในยามที่ต้องหอบลูกหนีภัยการสู้รบมาไกลจากบ้านเกิด
ขณะที่จอ วิน (นามสมมุติ) ชายวัย 45 ปี เกษตรกรจากรัฐกะเหรี่ยง เล่าถึงความยากลำบากในการปรับตัวว่า “ตอนแรกผมพูดไทยไม่ได้เลยครับ ลำบากมากในการสื่อสารกับนายจ้าง ผมเคยทำงานรับจ้างทั่วไปในสวนผลไม้ ได้รับค่าแรงที่ไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับคนไทยแต่ก็ต้องยอมรับ ผมพยายามเรียนรู้ภาษาไทยจากเพื่อน ๆ ที่ทำงานและก็ไปวัดบ่อย ๆ พระอาจารย์สอนให้เราอดทน ขยันทำงาน และทำความดี” จอ วิน มองว่าวัดเป็นศูนย์รวมทางจิตใจที่ช่วยให้เขามีแรงสู้ต่อไป
เรื่องราวของแรงงานข้ามชาติกับวัดบนเกาะสมุยเป็นภาพสะท้อนบทบาทของพุทธศาสนาที่น่าสนใจโดยเฉพาะการเป็นที่พึ่งของคนที่หนีร้อนไปพึ่งเย็น ท่ามสถานการณ์ที่เต็มไปมุมมองหลากหลายของสังคมไทย
การรับรู้และเข้าใจถึงชีวิตของแรงงานข้ามชาติ โดยมีพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมจิตใจนำไปสู่การสร้างสรรค์นโยบายและแนวปฏิบัติที่เกื้อกูลกันของมนุษย์ที่ไม่แบ่งแยกชนชาติ จึงเป็นตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจและควรถูกนำไปขยายผลเพื่อแก้ปัญหาความสับสนและยุ่งเหยิงในการอยู่ร่วมกันของสังคมไทยที่ยังต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ
กับการแก้ปัญหาแรงงานข้ามชาติ
จตุพร สุสวดโม้
เกือบหนึ่งแสนชีวิตของแรงงานเมียนมาที่กระจายตัวอยู่ทั่วเกาะสมุย พวกเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนกับความท้าทายหลากหลายมิติ ทั้งเรื่องปากท้อง การเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน รวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่าง ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและข้อจำกัดมากมาย โดยพุทธศาสนาเป็นเสาหลักทางจิตวิญญาณและศูนย์รวมใจที่สำคัญยิ่งสำหรับพวกเขา
ในมุมของ พระอาจารย์วิจิตรอังกอ ซายาดอว์ ประธานสงฆ์ในวัด Dhamma Dipa Angor เกาะสมุย ซึ่งเป็นที่พึ่งทางใจสำหรับผู้พลัดถิ่น
“พุทธศาสนาเป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยให้ผู้ที่อยู่ห่างไกลบ้านได้รวมกลุ่มกัน รวมถึงช่วยบรรเทาความเจ็บปวดทางจิตใจ ความไม่สบายใจ และความโดดเดี่ยวที่พวกเขาเผชิญ” ท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
จังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีจำนวนแรงงานข้ามชาติสูง โดยข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานจัดหางานจังหวัดสุราษฎร์ธานี ระบุว่า มีแรงงานข้ามชาติสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชาที่ทำงานถูกกฎหมายรวม 73,996 คน แต่มีการประมาณการว่ามีแรงงานนอกระบบในจังหวัดสุราษฎร์ธานีสูงถึง 109,892 คน
สำหรับเกาะสมุยซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของเมืองสุราษฎร์ฯ คาดว่ามีแรงงานข้ามชาติมากกว่า 77,528 คน ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของแรงงานข้ามชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยังเป็นความท้าทายในการบริหารจัดการดูแลสวัสดิการแรงงานด้วย
แรงจูงใจสำคัญที่ผลักดันให้แรงงานเมียนมาเข้ามาทำงานพื้นที่เกาะสมุย คือค่าแรงที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศบ้านเกิด รายได้ในประเทศไทยสูงกว่าในเมียนมาถึง 5 เท่า โดยค่าแรงขั้นต่ำของเมียนมาอยู่ที่ประมาณ 70 บาทต่อวัน ขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ 363 บาทต่อวัน (อ้างอิงข้อมูลค่าแรงขั้นต่ำ ณ วันที่ 1 มกราคม 2567) นอกจากนี้ความไม่สงบภายในเมียนมา ยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้แรงงานจำนวนมากต้องออกมาแสวงหาโอกาสและชีวิตที่ดีขึ้นในต่างแดน
แม้เกาะสมุยเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีความต้องการแรงงานสูง โดยเฉพาะในภาคบริการและก่อสร้าง แต่แรงงานเมียนมาจำนวนมากบนเกาะสมุยยังคงเผชิญกับความท้าทายในการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ
“แรงงานเมียนมาบนเกาะสมุยส่วนใหญ่ทำงานใช้กำลังแรงงานเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง งานทำความสะอาดบ้าน พนักงานร้านอาหาร งานเกษตรกรรม พวกเขาทำงานหนักมาก” พระอาจารย์วิจิตรเล่าถึงชีวิตประจำวันของญาติโยมที่มาพึ่งใบบุญวัด
ในแต่ละวัน หลังจากการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย แรงงานเหล่านี้มักจะมารวมตัวกันบริเวณวัด เพื่อทำบุญ ฟังธรรม และนั่งสมาธิเพื่อฝึกฝนภายใน วัดจึงไม่ใช่แค่สถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แต่ยังเป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นชุมชนขนาดย่อมที่พวกเขาสามารถแบ่งปันความทุกข์สุข พักผ่อน และค้นหาความสงบภายใน ท่ามกลางความวุ่นวายของการดิ้นรนในชีวิตประจำวัน
“โดยหลักแล้ว อาตมาชอบสอนธรรมะและการทำสมาธิ และเลือกสิ่งที่อาตมาเข้าใจ อาตมาเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยปรับเปลี่ยนพวกเขาให้เข้าใจกฎระเบียบของประเทศไทย ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ขยันทำงาน และใช้ชีวิตในที่ที่อาศัยอยู่ให้ดีขึ้น” พระอาจารย์วิจิตรกล่าวถึงแนวทางในการอบรมสั่งสอนญาติโยม
ขณะเดียวกันพระอาจารย์วิจิตร ได้ให้ความสำคัญเรื่องการศึกษาของลูกหลานแรงงานข้ามชาติเป็นอย่างมาก
“เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว เด็กที่เกิดในประเทศไทยหลายคนได้รับการสอนให้อ่านภาษาเมียนมาได้ แต่ตอนนี้เด็กเมียนมาส่วนใหญ่เรียนในโรงเรียนของไทย การเรียนการสอนพิเศษ (ภาษาเมียนมา) เหลือน้อยมาก
เด็ก ๆ ส่วนใหญ่มีหลักฐานการเกิดจากโรงพยาบาล ตอนนี้ก็มีบัตรนักเรียน” พระอาจารย์วิจิตรกล่าวถึงเอกสารสำคัญที่ช่วยยืนยันสถานะและสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาของเด็ก ๆ
แม้ว่าศาสนาจะเป็นที่พึ่งสำคัญ แต่แรงงานข้ามชาติยังคงต้องเผชิญกับข้อจำกัดและอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของสิทธิและความเท่าเทียม
“การเข้าใจเรื่องความเท่าเทียมกันของภาครัฐบาลกับพลเมืองไทยมันแตกต่างกัน” พระอาจารย์วิจิตรกล่าวอย่าง ยอมรับถึงความจริงที่ว่า แรงงานข้ามชาติยังคงไม่ได้รับสิทธิและสวัสดิการเท่าเทียมกับคนไทย
ตาน ซอ (นามสมมุติ) หญิงวัย 30 ปี ทำงานเป็นแม่บ้านในโรงแรมแห่งหนึ่งในสมุย เธอตัดสินใจหนีจากสถานการณ์การสู้รบในเมียนมามายังประเทศไทยพร้อมกับลูกสาววัย 7 ขวบ โดยมีความหวังให้ลูกสาวได้เข้าเรียนในโรงเรียนไทย แม้ตอนแรกจะมีความกังวลว่าลูกจะไม่สามารถปรับตัวได้ แต่ครูและเพื่อนๆ ก็ใจดีมาก เธอมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่อยากให้ลูกสาวได้รับการศึกษาที่ดีกว่าที่เธอเคยได้รับ แม้ตัวเธอเองจะพูดภาษาไทยไม่เก่ง แต่ก็พยายามเรียนรู้ เพื่อให้สามารถสื่อสารกับครูที่โรงเรียนได้บ้าง
ในวันหยุด ตาน ซอ และลูกสาวมักจะมาทำบุญที่วัด ซึ่งเป็นสถานที่ที่ช่วยเยียวยาจิตใจของเธอ
“การได้มาวัดทำให้ฉันรู้สึกสงบ ได้สวดมนต์ นั่งสมาธิ ทำให้ใจเย็นลงเยอะเลย” วัดแห่งนี้จึงเสมือนเป็นพื้นที่ทางใจในยามที่เธอคิดถึงบ้าน และเป็นที่พึ่งพิงในยามที่ต้องหอบลูกหนีภัยการสู้รบมาไกลจากบ้านเกิด
ขณะที่จอ วิน (นามสมมุติ) ชายวัย 45 ปี เกษตรกรจากรัฐกะเหรี่ยง เล่าถึงความยากลำบากในการปรับตัวว่า “ตอนแรกผมพูดไทยไม่ได้เลยครับ ลำบากมากในการสื่อสารกับนายจ้าง ผมเคยทำงานรับจ้างทั่วไปในสวนผลไม้ ได้รับค่าแรงที่ไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับคนไทยแต่ก็ต้องยอมรับ ผมพยายามเรียนรู้ภาษาไทยจากเพื่อน ๆ ที่ทำงานและก็ไปวัดบ่อย ๆ พระอาจารย์สอนให้เราอดทน ขยันทำงาน และทำความดี” จอ วิน มองว่าวัดเป็นศูนย์รวมทางจิตใจที่ช่วยให้เขามีแรงสู้ต่อไป
เรื่องราวของแรงงานข้ามชาติกับวัดบนเกาะสมุยเป็นภาพสะท้อนบทบาทของพุทธศาสนาที่น่าสนใจโดยเฉพาะการเป็นที่พึ่งของคนที่หนีร้อนไปพึ่งเย็น ท่ามสถานการณ์ที่เต็มไปมุมมองหลากหลายของสังคมไทย
การรับรู้และเข้าใจถึงชีวิตของแรงงานข้ามชาติ โดยมีพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมจิตใจนำไปสู่การสร้างสรรค์นโยบายและแนวปฏิบัติที่เกื้อกูลกันของมนุษย์ที่ไม่แบ่งแยกชนชาติ จึงเป็นตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจและควรถูกนำไปขยายผลเพื่อแก้ปัญหาความสับสนและยุ่งเหยิงในการอยู่ร่วมกันของสังคมไทยที่ยังต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ