ใกล้รุ่ง พรหมสุภา
“ปฏิบัติการทางทหารของศัตรูได้แผ่กว้างและยืดเยื้อไม่สิ้นสุด การจัดการเพื่อการอยู่รอดของผู้ลี้ภัยต่อไปในอนาคตจึงควรได้รับการทบทวน ขณะนี้ ผู้ลี้ภัยที่กามอเลโค่กำลังเริ่มถางพื้นที่ริมแม่น้ำเมยบนที่เกโพและกะนูท่าในฝั่งรัฐกะเหรี่ยง ผู้ลี้ภัยโชโกลก็กำลังเตรียมพื้นที่เพาะปลูกที่ปูลูท่าแล้วเช่นเดียวกัน”
ข้อความดังกล่าวอยู่ในจดหมายคำร้องของคณะกรรมการผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยง (Karen Refugee Committee) หรือ KRC ที่ส่งถึง คณะกรรมการเพื่อการประสานงานองค์การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในประเทศไทย (Committee for Coordination of Displace Persons in Thailand) หรือ CCDSPT เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2527 ขณะนั้นมีผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงอยู่ในประเทศไทยจำนวน 9,502 คน
ปีพ.ศ. 2527 กองทัพพม่าเปลี่ยนยุทธวิธีจากที่เคยโจมตีพื้นที่สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU (Karen National Union) ในทุกฤดูแล้งและถอนทัพกลับในทุกฤดูฝน มาเป็นการทุ่มสรรพกำลังกระจายหลายจุดเพื่อเข้ายึดและปักหลักอยู่ต่อ ชาวบ้านที่เคยหนีสงครามตามฤดูกาลและสามารถกลับบ้านได้ในฤดูเพาะปลูก จึงจำเป็นต้องพักอยู่ในชายแดนไทย
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิด “พื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบ” หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ศูนย์อพยพ” หรือ “ค่ายผู้ลี้ภัย” ที่วังข่า (ชื่อชุมชนเดิมซึ่งใกล้ฐานทัพคอมูร่าและปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของฉ่วยก๊กโก่) หรือบ้านห้วยกระโหลก, ค่ายโน่ผะโด้ (ชื่อเดียวกับชุมชนในรัฐกะเหรี่ยง) อ.แม่สอด และค่ายแม่หละ กามอเลโค่ เคล่อโค่ โชโกล แม่ตะวอรวม 7 แห่ง
รายงานการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในประเทศไทยของสภาคริสตจักรแห่งประเทศไทยร่วมกับ World Council of Churches ปี 2527 ชี้ให้เห็นว่า ทางการไทยได้ประสานงานให้องค์กรมนุษยธรรมที่ทำงานกับผู้ลี้ภัยฝั่งอินโดจีนมายังชายแดนไทย-พม่า และขอให้เป็นการให้ความช่วยเหลือ “ตามความจำเป็น” เท่านั้น ซึ่งภาคีองค์กรคริสเตียน 7 องค์กรก็ได้จัดสรรงบประมาณให้กับข้าวสาร ปลาร้า และยารักษาโรคพื้นฐานเป็นหลัก
ผู้ลี้ภัยในขณะนั้นพึ่งพาอาหารบริจาคเพียงส่วนหนึ่ง เพราะพวกเขายังมีอิสระในการออกไปรับจ้าง หาอาหารป่า และกลับไปทำไร่ในฝั่งรัฐกะเหรี่ยงบางจุดได้
จำนวนผู้ลี้ภัยค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละไม่มากในแต่ละปี หากเริ่มพุ่งสูงขึ้นหลังการปราบปรามประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยในปีพ.ศ. 2531 กองทัพพม่าพุ่งเป้าจะควบคุมชายแดนซึ่งมีนักศึกษา-ปัญญาชนหลบหนีเข้ามาจับอาวุธร่วมกับกองทัพชาติพันธุ์ให้ได้ทั้งหมด ค่ายผู้ลี้ภัยชาวกะเรนนีเริ่มปรากฏบนแผนที่ในปีพ.ศ. 2532 ผู้ลี้ภัยชาวกะเรนนีกลุ่มแรกราว 3,000 คนกระจายตัวอยู่ 4 แห่ง (CCT Appeal for Funds for The Consortium of Christian Agencies for 1990) ขณะที่ผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยง 19,960 คนพักอาศัยอยู่ในค่าย 9 แห่ง (KRC monthly report, Nov 1989)
ในปีพ.ศ. 2536 ดิฉันได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่แถบชายแดน ก่อนที่รัฐไทยจะเปลี่ยนนโยบายมาสู่การควบคุม และทวีความเข้มงวดของการห้ามออกนอกรั้วลวดหนาม ซึ่งนำไปสู่ภาวะพึ่งพาเต็มร้อย ค่ายเล็ก ๆ ตลอดแนวชายแดนแลดูเหมือนหมู่บ้านขนาดใหญ่ ยากที่คนผ่านทางจะแยกได้หมดว่าแห่งไหนคือชุมชนคนอพยพ
ในวันที่ยังไม่มีรั้วกั้น ผู้ลี้ภัยมีสัมพันธ์ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมกับคนท้องถิ่นอยู่มาก คนในชุมชนบนดอยชอบลงมาขายและซื้อของที่โชโกลกับแม่หละซึ่งเป็นศูนย์ใหญ่ เด็ก ๆ ชอบไปเที่ยวดูโรงเรียนที่สอนภาษาอังกฤษ บ้านบนดอยมีครอบครัวที่สามีหรือภรรยาเป็นคนหนีสงคราม และลูกของพวกเขาก็คือเด็กไทย
ในวันดี ๆ เรายังได้ดูคณะลิเกกะเหรี่ยงโปว์ผู้ลี้ภัยขึ้นไปเร่แสดงบนดอย เสรีภาพในอดีตทำให้บรรยากาศความเป็นมิตรบนชายแดนแตกต่างจากปัจจุบันมากมาย
ถึงวันนี้ ค่าย 7 แห่งแรกนั้น เหลือแต่เพียงแม่หละ ซึ่งขยายขนาดเท่าเมือง ถึงปัจจุบันก็ยังมีคนอยู่กว่าสามหมื่น ชาวบ้านโน่ผะโด้ขยับไปห้วยบงหลังจากที่กองทัพพม่ามาตั้งประชิดชายแดน และหลังถูกกองกำลัง DKBA บุกข้ามพรมแดนเข้ามาเผาเหลือแต่เถ้าถ่านในปี 2540 ก็ต้องย้ายเข้าแม่หละ ซึ่งก็รองรับผู้ลี้ภัยจากค่ายอื่น ๆ ในท่าสองยางเข้ามาด้วย คนห้วยบงอีกส่วนไปอยู่ห้วยกะโหลก ซึ่งก็ถูกบุกเผาทำลายเหมือนกันจนถูกย้ายไปยังอุ้มเปี้ยมใหม่ ในอ.พบพระเมื่อปี 2542
ประวัติศาสตร์ที่ไม่ยาวนานสักเท่าไหร่บอกให้เรารู้ว่า ภาพที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นภาพแช่แข็งจากอดีต
รัฐไทยเคยบริหารจัดการสถานการณ์ในรูปแบบที่ต่างไปมาแล้ว ในวันนั้น ผู้ให้ความช่วยเหลือไม่จำเป็นต้องระดมหางบประมาณมหาศาล ผู้ลี้ภัยรับความช่วยเหลือเท่าที่จำเป็น ยืนด้วยลำแข้งตัวเอง และได้รับความเคารพในการจัดการตนเองมากกว่าในปัจจุบัน
เมื่อรัฐยุคหนึ่งตัดสินใจเปลี่ยนแปลง โดยมองว่าการจัดการในขณะนั้นไม่เหมาะสมกับสถานการณ์แล้ว รัฐยุคต่อมาก็ย่อมตัดสินใจเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารจัดการอีกครั้งได้ เพราะที่เป็นอยู่ก็ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์แล้วเช่นกัน
—————–
หมายเหตุ ภาพประกอบ ค่ายผู้ลี้ภัยกะเรนนี แคมป์ 2 และ 3 ราวปี 2539