ภาสกร จำลองราช
เมื่อ 30 ปีก่อน ตอนอายุ 9 ขวบ “เตหล่อ”ติดตามครอบครัวหนีภัยสงครามจากบ้านเกิดในเมืองชาดอ รัฐคะเรนนีมาถึงชายแดนไทยด้านจังหวัดแม่ฮ่องสอน ขณะนั้นรัฐบาลทหารพม่ากำลังดำเนินยุทธวิธี “สี่ตัด”หรือ “ตัดสี่”คือตัดความช่วยเหลือ ตัดเส้นทางลำเลียง ตัดการติดต่อสื่อสารและตัดกำลังพล พร้อมกับการเข้าไปถล่มในพื้นที่จนชาวบ้านไม่สามารถอยู่ได้ต้องอพยพหนีตาย
“บ้านผมอยู่ใกล้แม่น้ำสาละวิน ตอนนั้นหากเราไม่หนีก็ตาย เมื่อชาวบ้านออกไปจากหมู่บ้านแล้วทหารพม่าก็เผาในทันที ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย พวกเราต้องหนีกันทั้งหมู่บ้าน เข้ามาหลบที่ชายแดนประเทศไทย เข้ามาอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย” แม้สถานการณ์ผ่านมาร่วม 30 ปีแล้ว แต่เตหล่อ ยังคงจำชีวิตที่ต้องหนีตายครั้งนั้นได้ดี ส่วนค่ายผู้ลี้ภัยที่เขาและชาวบ้านคะเรนนีเข้ามาหลบภัย ปัจจุบันคือค่ายบ้านใหม่ในสอย หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่าศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านใหม่ในสอย ซึ่งตั้งอยู่ชายแดนไทยด้าน อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน
เตหล่อเริ่มเข้าเรียนหนังสือชั้น ป.1 ตอนอายุ 9 ขวบซึ่งอายุเยอะกว่าคนอื่น แต่เขามีความมุ่งมั่นเรียนรู้ให้มากที่สุด นอกกจากเรียนหนังสือเขายังเรียนรู้ภาษาอังกฤษและวิธีการทำงานต่างๆจากเจ้าหน้าที่องค์กรสาธารณกุศลระหว่างประเทศที่เข้ามาช่วยเหลือผู้ลี้ภัย
เขายังพยายามฝึกฝนการพูดภาษาไทยให้ได้มากที่สุด แม้ภายในค่ายผู้ลี้ภัยมีกฎระเบียบของทางการไทยที่ไม่ให้สอนภาษาไทย เพราะหวาดระแวงว่าผู้ลี้ภัยจะออกไปภายนอก แต่เตหล่อก็สามารถฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว
หนุ่มคะเรนนีเรียนหนังสือจนจบชั้นสูงสุดในค่าย และมีโอกาสได้เรียนปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จนจบ แม้เขาต้องประสบเผชิญอุปสรรคมากมายกว่าจะได้ออกมาเรียนหนังสือภายนอก
“ทางการไทยไม่ให้เราออกไปนอกค่าย เยาวชนในค่ายส่วนใหญ่จึงยากที่จะได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ตัวผมเองต้องเดินทางกลับไปพม่าเพื่อทำพาสปอร์ต ทำบัตรประชาชนพม่า แต่ก็ยากเพราะผมไม่ใช่คนพม่าแต่เป็นชาวคะเรนนี เป็นชาติพันธุ์ เลยต้องไปหลายรอบ” เตหล่อเดินทางเข้า-ออกพม่าในช่วงปี 2555 ซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์ค่อนข้างสงบ
“ผมเรียนจบ ม.6 ในค่าย แต่ต้องหาประกาศนียบัตร GED สมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อได้เรียนตอนนั้น ผมมีเงินติดตัวแค่ 500 บาท ขณะที่ต้องจ่ายค่าเทอม 2,500 บาท โชคดีผมสอบชิงทุนจากมูลนิธิแห่งหนึ่งได้และเขามีเงินสนับสนุนให้ปีละ 3 หมื่นบาท” ระหว่างเรียนเขาต้องทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วยเพื่อหารายเสริม
ระบบการศึกษาในศูนย์พักพิงค่อนข้างตีบตัน มีเยาวชนเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นที่หลุดรอดจนสามารถเรียนจบปริญญาตรีได้ โดยต้องอาศัยอย่างมุ่งมั่นสูง ขณะที่เยาวชนส่วนใหญ่แต่งงานและสร้างครอบครัวกันตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาว มีเพียงจำนวนหนึ่งที่มีโอกาสได้เดินทางไปประเทศที่ 3
“ทุกคนอยากเรียนภาษาไทย แต่ท้ายสุดเราก็ได้แค่อ่าน ก.ไก่ ข.ไข่” เขาบอกถึงความแปลกประหลาดของกฎกติกาของทางการไทย เพราะอยู่ในแผ่นดินไทยแท้ๆ แต่ห้ามเรียนภาษาไทย โดยผู้ลี้ภัยสามารถเรียนภาษาพม่าและภาษาอื่นๆได้ ยกเว้นภาษาไทย
“ผมอยากทำให้น้องๆคะเรนนีเห็นว่า ถ้าเราพยายาม เราก็ทำได้แม้จะไม่มีเงิน การพัฒนาตนเองเป็นสิ่งสำคัญ ผมมองไปรอบๆตัว หากเราไม่ได้เรียนสูงๆ ก็คงไม่สามารถสร้างคุณค่าให้กับคนอื่นได้”ความเชื่อเช่นนี้ของเตหล่อ ทำให้เขามีพลังขับเคลื่อนจนสามารถเรียนจบปริญญาตรีได้ แม้รู้ดีว่ายังยากที่จะได้กลับไปถิ่นฐานเดิม แต่เชื่อว่าสักวันหนึ่งคงได้กลับไปพัฒนาบ้านเกิด
กว่าที่เตหล่อจะเรียนจนปริญญาตรีได้ เขาต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายโดยเฉพาะเมื่อเข้ามาอยู่ในสังคมเมืองใหญ่คือเมืองเชียงใหม่
“ผมอยู่ในค่ายมาทั้งชีวิต ไม่รู้จักเชียงใหม่ แค่เข้าตึกและขึ้นลิฟต์ ยังตกใจ เป็นเรื่องยากมาก อยู่ในเมืองไม่มีเงินทำอะไรไม่ได้เลย แต่ก็ดีที่ผมได้เห็นโลกกว้างขึ้น รู้ว่าประเทศไหนมีรัฐบาลอย่างไร การเมืองโลก การเมืองประเทศต่างๆ จีน สหรัฐ เป็นอย่างไร” ประสบการณ์ช่วยหล่อหลอมให้เขากลายเป็นบุคลากรที่มีคุณค่าสามารถกลับไปช่วยเหลือพี่น้องชาวคะเรนนีในค่ายผู้ลี้ภัยได้อย่างดี
เตหล่อรู้สึกหนักใจที่เด็กรุ่นใหม่ในค่ายไม่ค่อยสนใจการเมืองและสภาพสังคม แม้แต่เรื่องแผ่นดินเกิดของตัวเอง เพราะพวกเขาเกิดและเติบโตอยู่ในค่ายและไม่เคยออกไปเห็นโลกกว้าง ทำให้คิดไม่ออกว่าอนาคตของพวกเขาจะต้องเผชิญอะไรบ้าง
“คนรุ่นผมยังมีความหวังที่ต้องการกลับบ้านเกิด แม้หมู่บ้านเดิมจะเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้วก็ตาม แต่เด็กรุ่นใหม่เขาไม่รู้ เพราะเขาเกิดในค่ายผู้ลี้ภัย” สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้วันหนึ่งทุกชีวิตในค่ายก็มาถึงทางตัน เมื่อวันนั้นความช่วยเหลือต่างๆกำลังจะยุติลง
เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา TBC (The Border Consortium) และ IRC (International Rescue Committee) สององค์กรสาธารณกุศลประกาศยุติการให้ความช่วยเหลือในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ภายหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกตัดงบประมาณสนับสนุน ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยไม่ต่ำกว่า 100,000 คนใน 9 ศูนย์พักพิงชายแดนไทย-พม่ากำลังจะตกอยู่ในสภาวะขาดแคลนอาหาร ประสบปัญหาด้านที่อยู่อาศัยและปัญหาด้านสุขภาพ
เตหล่อเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก หากรัฐบาลไทยผ่อนปรนให้ผู้ลี้ภัยในค่ายสามารถออกมาทำงานภายนอกได้ เพราะทำให้ผู้ลี้ภัยหารายได้เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้
“เป็นโอกาสของผู้ลี้ภัย แม่ส่วนใหญ่มีการศึกษาน้อย แต่หากเรายังต้องอยู่บนเส้นพรมแดน เราก็ต้องมีรายได้เพื่อซื้ออาหารเลี้ยงครอบครัว ในอนาคตหากสถานการณ์ในพม่าสงบ พวกเราจำนวนมากคงอยากเดินทางกลับ แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีทางเลือก ย่อมอยากทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ” ขณะที่บรรยากาศในค่ายผู้ลี้ภัยเต็มไปด้วยความเครียดและความกังวล เพราะเหลือเวลาอีกเพียง 5-6 วันก็จะถึงวันสุดท้ายของความช่วยเหลือที่มีมายาวนานนับทศวรรษ แต่ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนใดๆของทางการไทยออกมา
“ทุกคนอยากเดินทางออกมาทำงานนอกค่ายได้ เราอยากพัฒนาศักยภาพตัวเอง หรือทำอาชีพต่างๆ จะในค่ายหรือนอกค่ายก็ได้ เช่น เปิดร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์” เตหล่อสะท้อนเสียงแทนคนในค่ายผู้ลี้ภัย ซึ่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามีสัญญาณแจ้งเตือนมาก่อนแล้วว่าความช่วยเหลือต่างๆกำลังยุติลง ทำให้คนในค่ายจำนวนไม่น้อยพยายามหาช่องทางออกมาทำงานนอกค่าย และกลายเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่รัฐทุจริตคอรัปชั่น
ขณะที่ปัญหาด้านสุขภาพ ซึ่ง IRC ได้ตั้งท่ายุติความช่วยเหลือมาตั้งแต่ต้นปี ทำให้โรงพยาบาลชายแดนของไทยต่างทำงานกันอย่างหนักเพื่อวางแผนรองรับผู้ลี้ภัยในศูนย์พักพิง
“เรื่องสุขภาพ ยากว่าจะทำอย่างไรเพราะไม่มีทาง แต่สำหรับอาหาร เราอาจต้องออกมาทำงานนอกค่ายเท่าที่พอหาได้บ้าง หรือขอจากญาติที่ไปประเทศที่สาม” เตหล่อ สะท้อนตามสภาพความเป็นจริงที่ประสบ
วันนี้เตหล่อและพี่น้องของเขาในค่ายบ้านใหม่ในสอยยังคงลุ้นระทึกว่ารัฐบาลไทยจะยอมผ่อนปรนให้พวกเขาได้ออกมาทำงานหรือไม่ เช่นเดียวกับผู้ลี้ภัยอีก 8 ค่ายในจังหวัดตาก กาญจนบุรีและราชบุรี ที่ต่างเงี่ยหูฟังเสียงจากรัฐบาลไทย