Search

เครือข่ายกะเหรี่ยงประชุมร่วมหาช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในค่าย เผย KNUพร้อมนำบางส่วนกลับมาตุภูมิ-สนับสนุนแนวทางให้คนหนุ่มสาวทำงานในไทยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน-เตรียมส่งเสียงถึงนานาชาติระดมรับบริจาค

ความคืบหน้ากรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา สั่งตัดงบประมาณด้านมนุษยธรรมทำให้องค์กรสาธารณกุศลระหว่างประเทศคือ TBC (The Border Consortium) และ IRC (International Rescue Committee) ที่ให้การสนับสนุนงบประมาณในค่ายผู้ลี้ภัยต้องยุติความช่วยเหลือตั้งแต่สิ้นเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยไม่ต่ำกว่า 100,000 คนกำลังจะขาดแคลนอาหาร และเกิดปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยรวมถึงปัญหาด้านสุขภาพ 

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2568 นางวาคือชี ผู้อำนวยการเครือข่ายสันติภาพกะเหรี่ยง (Karen Peace Support Network-KPSN) ให้สัมภาษณ์ว่าองค์กรกะเหรี่ยงต่างๆ ได้ประชุมคณะกรรมการ อาทิ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union-KNU) คณะกรรมการผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยง (Karen Refugees Committee-KRC) รวมทั้งองค์กรชุมชนต่างๆ (CBOs) ที่ประชุมเห็นชอบร่วมกันว่าจะดำเนินการสำรวจความจำนงของผู้ลี้ภัย ซึ่งแบ่งเป็น3 กลุ่มคือ 1. ผู้ที่ต้องการไปประเทศที่สาม 2. ผู้ที่ต้องการอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยต่อไปเนื่องจากยังกลับถิ่นฐานไม่ได้ เพราะสถานการณ์ยังไม่สงบ และ 3. กลุ่มที่ยินดีเดินทางกลับถิ่นฐานในพม่า ซึ่งกลุ่มนี้มีเครือญาติที่อาศัยอยู่ในรัฐกะเหรี่ยง ซึ่ง KNU เป็นหน่วยงานหลักในการประสาน พากลับไปยังมาตุภูมิ แต่ตนยังไม่ทราบรายละเอียด ทราบว่าจะมีการจัดสรรที่ดินที่และการสนับสนุนด้านอื่นๆ ให้ด้วย

ผอ.เครือข่ายสันติภาพกะเหรี่ยง กล่าวว่าสำหรับกลุ่มที่ต้องการอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยต่อไป คณะกรรมการฯ จะหาทางช่วยเหลือ เนื่องจากวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นวันแรกที่องค์กรสาธารณกุศล TBC ได้ออกประกาศว่าจะยังคงให้ความช่วยเหลือด้านอาหารแก่กลุ่มเปราะบาง (Vulnerable) ในช่วงเดือนสิงหาคม-ธันวาคม โดยต้องดูเป็นกรณีๆ ว่าจะสนับสนุนอย่างไร และหาแนวทางระดมจากผู้บริจาคอื่นๆ

“เราเสนอทางออกคือ อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยทำงาน หรือออกไปทำงานได้ เพื่อให้สามารถเลี้ยงชีพ ซึ่งทุกคนมีเลขประจำตัวอยู่แล้วของสหประชาชาติ (UN) นโยบายให้ผู้ลี้ภัยให้สามารถทำงานได้ เพื่อเข้ามาเสริมแรงงานที่ขาดแคลนในประเทศไทย เพราะผู้ลี้ภัยคนหนุ่มสาวต่างได้เรียนหนังสือ เรียนภาษาอังกฤษ และมีการอบรมฝึกอาชีพต่างๆ พร้อมที่จะทำงานและไม่ต้องรอรับการบริจาค”นางวาคือชี กล่าว

ผู้อำนวยการเครือข่ายสันติภาพกะเหรี่ยงกล่าวว่า สำหรับด้านสุขภาพ หน่วยงานสาธารณสุขไทยได้เข้ามาดูแล แต่ในบางแห่งคณะกรรมการค่ายฯ แจ้งว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในค่ายที่มีในเวลานี้ อาจจะไม่เพียงพอที่จะดูแลประชากร แต่ก็เข้าใจข้อจำกัดและต้องพยายามจัดการให้ดีที่สุด สำหรับผู้ที่ต้องการไปประเทศที่สาม ยังพอมีช่องทาง คือผู้ลี้ภัยที่มีครอบครัวไปตั้งถิ่นฐานในประเทศนั้นๆ แล้ว ก็มีการเปิดให้ลงทะเบียนเพื่อพิจารณาให้ไปได้โดยให้ครอบครัวรับผิดชอบค่าใช้จ่าย

“ในที่ประชุมเราได้เห็นชอบในการทำการสำรวจ แบ่งประเภทผู้ลี้ภัยตามกลุ่มต่างๆ และจัดการให้เหมาะสม จะมีการจัดระบบว่าหน่วยงานไหนจะรับผิดชอบด้านในบ้าง” ผอ.สันติภาพกะเหรี่ยง กล่าว

ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังผู้ลี้ภัยสตรีรายหนึ่งวัย 50 ปี ซึ่งเป็นผู้นำในค่ายผู้ลี้ภัยชาวคะเรนนีที่บ้านใหม่ในสอย อ.เมือง จ.แม่ฮ่อยสอน ซึ่งได้เล่าว่าทุกคนในค่ายต่างรู้สึกกังวลต่ออนาคตของพวกเขาในค่ายหลังความช่วยเหลือถูกตัด

“ปัญหาจะตามมาเยอะมาก พวกเราบางส่วนอาจต้องเสี่ยงออกนอกค่ายแบบผิดกฎหมายเพื่อหางานทำ ซึ่งมันอันตรายมาก อาจนำไปสู่การค้ามนุษย์ และการถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือแม้แต่ความรุนแรงทางเพศ”เธอกล่าว

ผู้นำสตรีรายนี้กล่าวว่า กลุ่มผู้นำในค่ายได้เริ่มพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของไทยแล้ว เพื่อขอให้ผู้อยู่อาศัยในค่ายสามารถออกไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายภายใต้เอกสารชั่วคราว

“เรากำลังพยายามเจรจา แต่เราก็เข้าใจดีว่า ประเทศไทยก็มีข้อจำกัดของเขาเอง มีนโยบาย มีกฎหมาย และมีความกังวลด้านความมั่นคง มันไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้แม้ทางเลือกในการทำงานภายนอกค่ายดูจะเป็นไปได้ยาก พวกเราจึงเสนอทางออกใหม่คือขอใช้พื้นที่เพาะปลูก เพราะถ้าเราออกไปไหนไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้เราปลูกอาหารเองได้เถอะ ถ้าเขาจะตัดอาหาร เราก็ต้องหาทางอยู่รอดด้วยตัวเอง” เธอกล่าวอย่างหนักแน่น

เธอกล่าวว่า ในขณะเดียวกันกลุ่มผู้นำก็กำลังพยายามติดต่อกับอดีตผู้อยู่อาศัยในค่ายที่ได้ไปตั้งรกรากในประเทศที่สาม เพื่อส่งเสียงถึงนานาชาติให้ช่วยระดมความช่วยเหลือจากภายนอกกลับมาสู่ชุมชนเดิม

ด้านหน่อนอ(นามสมมุติ) กรรมการค่ายผู้ลี้ภัยแม่หละ กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ลี้ภัยขณะนี้ต่างขาดแคลนอาหาร มีความกังวลว่าจะเอาอะไรกินในแต่ละวัน และพยายามหาหนทางให้สามารถออกไปทำงานนอกค่าย แต่ก็ยังไม่มีการอนุญาตจากทางการไทยจนถึงตอนนี้ ทุกคนต่างอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เมื่อถูกตัดการช่วยเหลือเพราะชาวบ้านเริ่มไม่มีอาหารแล้ว แต่บางคนก็ยังพอมีญาติๆ ที่ส่งมาช่วยเหลือมาให้ หรือแบ่งๆ กัน โดยตอนนี้กลุ่มผู้ลี้ภัยทั่วไป (standard) จำนวนมากไม่มีอาชีพในค่าย สำหรับกลุ่มเปราะบาง (vulnerable) ยังพออยู่ได้เพราะยังได้รับความช่วยเหลืออยู่

“ที่ขาดแคลนและจำเป็นเร่งด่วน คือ ข้าว เพราะส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยง ที่กินข้าวเป็นหลัก แต่สำหรับงานสาธารณสุข สุขภาพมีการสนับสนุนจากโรงพยาบาลไทย และหน่วยงานอื่นๆ เช่น แม่ตาวคลินิก ทุกคนต่างช่วยเหลือเต็มความสามารถ”เธอ กล่าว

————

On Key

Related Posts

เร่งแก้ไขน้ำประปาปนเปื้อน 18 หมู่บ้าน นายก อบจ.เชียงรายเผยระบบไม่ได้มาตรฐาน-เตรียมปรับปรุงเพิ่ม-คพ.ส่งทีมตรวจลงพื้นที่ตรวจสอบทั้งหมด-เบื้องต้น 3 หมู่บ้านไม่พบสารโลหะหนัก-สำรวจหาแหล่งน้ำสะอาดแห่งใหม่