Search

เกษตรกร-ชาวบ้านริมน้ำสาย-รวกต้องยอมใช้น้ำปนเปื้อนสารโลหะหนักเหตุไร้ทางเลือก “สำนักข่าวชายขอบ”สำรวจพื้นที่พบนานับหมื่นไร่จำต้องใช้น้ำที่มีปัญหา ขณะที่ชาวบ้านริมสามเหลี่ยมทองคำรับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวหาย-ไม่กล้ากินปลา

ระหว่างวันที่ 9-10 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวชายขอบได้ลงพื้นที่สำรวจและติดตามสถานการณ์ผลกระทบต่อชุมชนจากกรณีการปนเปี้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำในพื้นที่ปากแม่น้ำสาย แม่น้ำกก และแม่น้ำโขง อ.แม่สายและอ.เชียงแสน จ.เชียงราย ที่เป็นผลจากการทำเหมืองแร่บริเวณพื้นที่ต้นน้ำในรัฐฉานของเมียนมา ซึ่งชาวบ้านมีความกังวลถึงการปนเปี้อนสารโลหะหนักโดยกรมควบคุมมลพิษตรวจพบสารหนู ตะกั่วและแมงกานีสเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าสารโลหะหนักเหล่านี้อาจปนเปื้อนเข้าไปในห่วงโซ่อาหาร เช่น ปลา นาข้าว และพื้นที่การเกษตร ซึ่งชุมชนมีความต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำสายในหลายครั้งที่ผ่านมา พบว่ามีสารโลหะหนักทั้งสารหนู ตะกั่วและแมงกานีส สูงเกินค่ามาตรฐานมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง โดยมีค่าสารโลหะหนักสูงกว่าแม่น้ำกก เนื่องจากแม่น้ำสายและแม่น้ำลงงเป็นแม่น้ำที่มีขนาดเล็กและสั้นกว่าแม่น้ำกก ที่สำคัญคือมีการทำเหมืองมาก่อน และบางเหมืองทำกันกลางลำน้ำสาย ทำให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาแม่น้ำสายขุ่นตลอดทั้งปี แม้แต่น้ำประปาที่นำน้ำดิบจากแม่น้ำสายมาใช้ก็ยังขุ่นมาก จนชาวบ้านต้องร้องเรียนทางการให้แก้ไขปัญหา

ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยัง ต.เกาะช้าง บริเวณที่แม่น้ำรวกและแม่น้ำสายรวมกัน โดยชาวบ้านยังคงทำนาเป็นปกติ จากการสอบถามหลายคนกล่าวว่า ยังจำเป็นต้องใช้น้ำจากแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก แม้ที่ผ่านมาได้ยินข่าวกรณีที่มีสารพิษเกินมาตรฐาน แต่ก็ไม่รู้ทำเช่นไร เพราะหากไม่ใช้น้ำจากแม่น้ำสายก็ไม่รู้จะนำน้ำจากที่ไหนมาทดแทน

“ตอนนี้เป็นหน้าฝน มีน้ำฝนมาช่วย น่าจะทำให้สารพิษเจือจางไปได้บ้าง ในหน้าฝนเราไม่ค่อยเป็นห่วงเรื่องน้ำ เพราะมีน้ำฝนมาช่วย แต่หน้าแล้ง บางทีเราต้องสูบน้ำจากบ่อบาดาลมาใช้ ก็ไม่เห็นมีใครมาตรวจสอบบ่อบาดาลว่ามีสารพิษมั้ย ”ชาวนารายหนึ่ง กล่าว

ชาวบ้านอีกรายหนึ่งที่ปลูกผักกล่าวว่า ตนเองก็ต้องใช้น้ำจากแม่น้ำสายรดแปลงผัก เพราะไม่มีน้ำจากที่อื่น แต่ช่วงนี้เป็นฤดูฝนจึงไม่ต้องรดน้ำ แต่คิดว่าผักกาดที่ปลูกไว้ไม่น่าจะมีสารพิษปนเปื้อนเพราะอยู่ห่างจากแม่น้ำสาย ตนเองก็เก็บผักไปกินเสมอและยังไม่มีอาการอะไร ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นมีหน่วยงานราชการมาให้ความรู้หรือตรวจสอบอะไร

ผู้สื่อข่าวยังได้พูดคุยกับคนหาปลาไหล โดยเขาบอกว่า ปลาต่างๆในแม่น้ำสายแทบไม่มีแล้ว แต่ในนายังมีปลาอยู่มาก ตนดักปลาไหลซึ่งบางครั้งก็เอาไปขายด้วย คิดว่าปลาไหลไม่น่าจะมีสารพิษในตัวปลาเพราะเป็นสัตว์ที่อยู่ในรูลึก

ขณะที่นายทองคำ อินพรม ประธานกกรรมการคลองชลประธาน กล่าวว่า พื้นที่บริเวณนี้แบ่งการใช้น้ำเป็นคลอง RMC1-2และ 3 โดยทั้งสามคลองที่ตนดูแลเป็นประธาน มีพื้นที่เกษตรกรราว 3 หมื่นไร่ ทำนาและปลูกพืชผลอื่นๆ ตลอดทั้งปี ทั้งหมดเป็นน้ำจากแม่น้ำสาย โดยในหน้าแล้งต้องแบ่งปันกันใช้เพราะแม่น้ำสายไม่พอใช้

“เราทำนาปีละ 2 ครั้ง โซนนี้นอกจากทำนาแล้วยังมีสวนด้วย เช่น ข้าวโพด และมันฝรั่ง”นายทองคำ กล่าว

นายสุชาติ ศักดิ์ดา กำนัน ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย กล่าวว่า ชาวบ้านรู้เรื่องสารปนเปื้อนในแม่น้ำสาย แต่ชาวบ้านเกาะช้างจำเป็นต้องใช้น้ำจากแม่น้ำสายทำการเกษตร ส่วนน้ำกินน้ำใช้เป็นน้ำบาดาลทำประปาหมู่บ้าน เจาะ 100 เมตร และมีการมาตรวจหาสารเคมีซึ่งเป็นการตรวจประจำปี

“ชาวบ้านตอนนี้ใช้น้ำบ่อตื้น ซักล้างต่างๆ เพราะตอนนี้ประปาระงับเนื่องจากมีการก่อสร้างถนน ส่วนการทำข้าว นาปี นาปรัง ใช้น้ำชลประทานจากแม่น้ำสาย ปลูกข้าว ข้าวโพด มันฝรั่ง ส่วนน้ำกินซื้อน้ำขวดเอา”นายสุชาติ กล่าว

กำนันตำบลเกาะช้างกล่าวว่า ทุกวันนี้หากแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้ก็ดี ขณะนี้ชาวบ้านยังไม่ทราบข้อมูลว่าน้ำปนเปื้อนสารหนู

นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำรวก-สายไหลลงแม่น้ำโขง ซึ่งคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง(MRC) เผยแพร่ผลการตรวจวัดพบว่ามีสารโลหะหนักในแม่น้ำโขงเกินค่ามาตรฐาน

ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมรายหนึ่งกล่าวว่า ตอนนี้ต้องใช้บาดาลเพราะในแม่น้ำรวกและโขงตรวจพบสารโลหะหนักเกิดค่ามาตรฐาน โดยทางโรงแรมได้ตรวจเองเป็นปกติที่ตรวจทุก 6 เดือน เพียงแต่ตอนนี้ตรวจถี่ขึ้น โดยส่งตัวอย่างน้ำและดินไปแล็บในเชียงใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่กระทบกับโรงแรมมากนัก แต่น่ากังวลใจแทนชาวบ้านที่สูบน้ำขึ้นมาใช้ทำการเกษตรกรรม

“นักท่องเที่ยวเดี๋ยวนี้เขารู้ปัญหาได้หมดเพราะมีสื่อออนไลน์ เราไม่สามารถซ่อนปัญหาได้ หากคิดว่ามาแล้วเกิดปัญหามลพิษน้ำเสีย เขาก็ไม่มา หากเราโปร่งใส บอกเขาว่าสารพิษในแม่น้ำ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องอาหารและน้ำที่เราใช้อยู่ เขาก็แยกแยะได้ เรื่องสารพิษในแม่น้ำ หากไม่ยุติแหล่งปล่อยสารพิษ เรื่องก็ไม่จบ การท่องเที่ยวก็เรื่องหนึ่ง แต่ปัญหาใหญ่คือสุขภาพประชาชนสำคัญที่สุด อย่าเอาการท่องเที่ยวมามีสิทธิพิเศษมากกว่าประชาชน”ผู้ประกอบการรายนี้ กล่าว

นายอำนวย หมื่นเป็ง อายุ 51 ปี ชาวบ้านสบรวก กล่าวว่า คนไทยไม่กล้าซื้อปลาแม่น้ำโขงไปกิน ราคาลดลงจาก 300 บาทต่อกิโลกรัม เหลือ 200 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งที่เมื่อก่อนหาปลาได้ไม่พอขาย อย่างช่วงนี้ฤดูน้ำแดงเคยออกเรือได้ปลาวันละ 5-10 กิโลกรัม ขายได้เงิน 1,000-2,000 บาท เมื่อไม่มีคนซื้อจึงแทบไม่ได้ออกเรือ ต้องอาศัยพ่อค้าฝั่งลาวข้ามมารับซื้อบ้าง ซึ่งคนลาวอาจเข้าใจว่าเป็นปลาจากลำน้ำสาขาในฝั่งลาว ตอนนี้ตนต้องเปลี่ยนอาชีพมาขับรถรับจ้าง และหาปลาเป็นเพียงอาชีพเสริม

นายสมชาย ยานะ คนขับเรือนำเที่ยว กล่าวว่า ตนขับเรือนำเที่ยวมาตั้งแต่ปี 2543 แต่ไม่เคยเจอสถานการณ์ที่กระทบการท่องเที่ยวรุนแรงขนาดนี้ มลพิษในแม่น้ำโขงมีผลโดยตรง นักท่องเที่ยวไม่กล้าขึ้นเรือท่องเที่ยวเพราะไม่อยากเสี่ยงสัมผัสกับน้ำในแม่น้ำโขง โดยช่วงนี้มีลูกค้าลดลง บางวันเรือทั้งกลุ่มมีรอบวิ่งเรือเพียง 2-3 รอบเท่านั้น

หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ริมแม่น้ำโขงบ้านสบกก ต.สบกก อ.เชียงแสน ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่สารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน เพราะแม่น้ำโขงบริเวณนี้ต้องรองรับน้ำจากแม่น้ำกกที่มีค่าสารโลหะหนักเกินมาตรฐาน และยังมีน้ำจากแม่น้ำรวกที่มีสารพิษไหลลงมาก่อนหน้านี้

นายบุญธรรม ตานะอาจ อายุ 72 ปี ตัวแทนกลุ่มประมงพื้นบ้าน บ้านสบรวก กล่าวว่า ที่บ้านสบรวกเคยมีความอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งหาปลาสำคัญ ชาวบ้านมีอาชีพทำนา ทำไร่ยาสูบ ทำการเกษตร เคยมีพรานปลา 40-50 คน แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแม่น้ำโขงมีผลกระทบจากเขื่อน และล่าสุดปัญาหาสารพิษในน้ำ จนทำให้พรานปลาเหลืออยู่เพียง 10 คนเท่านั้น ชาวบ้านต้องเปลี่ยนอาชีพเพื่อความอยู่รอด ขณะที่คนรุ่นใหม่เลือกเข้าเมืองไปหางานทำที่มีรายได้มากกว่า

“เมื่อก่อนชาวบ้านยังไม่ทันออกเรือไปหาปลา แม่ค้าก็โทรตามแล้ว แต่ทุกวันนี้หาปลาได้เต็มเรือแต่ขายไม่ได้ ช่วงหน้าฝนฤดูน้ำแดง จับปลาขายได้เงินวันละ 5,000 บาท พอมีปัญหาสารหนูบางวัน 50 บาทยังไม่ได้เลย ถ้าจับปลาขายได้เยอะ คนหนุ่มก็อยากมาหาปลา แต่ตอนนี้แทบไม่มีใครอยากออกเรือ” นายบุญธรรม กล่าว

นายบุญธรรม กล่าวอีกว่า ตอนนี้ชาวบ้านต้องการให้หน่วยงานเข้ามาจัดอบรมให้ความรู้แก่ชาวบ้าน ให้สามารถตรวจวัดสารพิษในแหล่งน้ำ ปลา และพืชผัก เป็นการเฝ้าระวังโดยชุมชน โดยไม่ต้องรอหน่วยงานรัฐเพียงอย่างเดียว เพราะชาวบ้านต้องการรู้ว่าปลาที่จับได้ พืชผักต่างๆ ที่จะหากินในแต่ละวัน มีการปนเปื้อนสารพิษ หรือสามารถนำมากินได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้มีวิธีการใดที่ชุมชนสามารถขจัดสารพิษในแหล่งอาหารได้เอง เพื่อให้คนกล้าซื้อปลา อาชีพประมงก็จะอยู่ได้ด้วย

—————————-