เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 ที่ร้านเมลท์อินยัวร์เม้าท์ อ.เมือง จ.เชียงราย ได้มีการจัดเสวนาโต๊ะกลม MRCS-ภาคประชาสังคม กรณีสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวกและแม่น้ำโขง โดยมีผู้แทนภาครัฐ ภาคประชาสังคมและนักวิชาการ รวมทั้งผู้แทนสถานทูตต่างๆ อาทิ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหรัฐ สวิตเซอร์แลนด์ เข้าร่วมกว่า 60 คนโดยนางบุษฎี สันติพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(CEO)สำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขง(MRCS) กล่าวเริ่มต้นเสวนาว่าเป็นการระดมความคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาของประเทศสมาชิก 4 ประเทศ โดยใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพื่อปรับปรุงคุณภาพของน้ำ เพื่อสุขภาวะของน้ำในแม่น้ำโขง แม้ปัญหาจะเกิดขึ้นในแม่น้ำกกแต่ก็ต้องเตรียมการไม่ให้กระทบประเทศอื่น โดยที่ผ่านมา MRCได้จัดประชุมระดับภูมิภาคแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ที่มีส่วนได้เสียมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ในช่วงแรกได้มีการเสวนาแบบอภิปรายกลุ่มในหัวข้อ “ข้อกังวลเกี่ยวกับประเด็นคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก”ซึ่งมีนายสุรสีห์ กิตติมรณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นผู้แนะนำประเด็นปัญหา โดยน.ส.นฤมล นิลมานนนท์ ผู้แทนสภาหอการค้าจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การพบสารหนูเกินมาตรฐานในแม่น้ำกกซึ่งมีต้นทางมาจากเมียนมา ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการท่องเที่ยวที่มาเชียงราย หากมีการสะสมสารพิษในพืชจะส่งผลกระทบต่อมาตรฐาน GAP/ GMP โดยสิ่งที่อยากให้ภาครัฐช่วยคือขณะนี้การสื่อสารยังน้อยโดยเฉพาะที่เป็นภาษาชาวบ้านว่าควรปฎิบัติตัวอย่างไร และการประชาสัมพันธ์ที่ยังไม่ถึงคนเล็กคนน้อย
น.ส.คนึงนิจ เชื้อเมืองพาน นักวิชาการภูมิสารสนเทศ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย กล่าวว่า เราไม่เคยละทิ้งการจัดการคุณภาพน้ำเลยตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วเพราะน้ำเหมือนผู้ป่วย โดยค่าความขุ่นยกระดับขึ้นตั้งแต่นั้นโดยไม่ลดลงอีกเลย
นายปฐมพงศ์ ฤทธิแผลง ประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำฝายเชียงราย แม่น้ำกกฝั่งขวา กล่าวว่า ข้อกังวลของเกษตรกรคือเมื่อก่อนหาปลากันเป็นล่ำเป็นสัน แต่ตอนนี้ปลาขายไม่ได้เลย ขณะที่ชาวนาต่างวิตกกังวลเรื่องสารปนเปื้อน ทำให้มีการขุดน้ำบาดาลมาใช้เพราะกลัวพืชผักขายไม่ได้
ดร.ปิณิดา ลีลพนัง กำแพงทอง ผู้แทนMRCs นำเสนอว่าเมื่อเดือนมีนาคม เมื่อมีการตรวจพบสารหนูในแม่น้ำกก ได้ส่งจดหมายเป็นทางการไปยังเมียนมาให้ตรวจคุณภาพน้ำร่วมกัน รวมถึงแม่น้ำโขงสายหลักด้วย ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าแม่น้ำโขงปนเปื้อนหรือไม่ จึงได้ร่วมมือตรวจกับทางการลาว ตรวจน้ำโขงพรมแดนไทยลาว (แขวงบ่อแก้ว และเชียงราย) พบสารหนูเกินค่า คือแม่น้ำโขงตั้งแต่เหนือสามเหลี่ยมทองคำถึงห้วยทราย (ตรงข้าม อ.เชียงของ) ค่าเฉลี่ยน 0.025 มก./ลิตร
“เราคาดหวังความร่วมมือกับเมียนมา จะมีการตรวจคุณภาพน้ำต่อเนื่องและหาแนวทางลดผลกระทบ โดยได้มีการนำเสนอโครงการของ MRC ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมหาแหล่งกำเนิดที่ทำให้คุณภาพน้ำเสื่อมลงโดยมีการประเมินคุณภาพน้ำและตะกอน เพื่อหาแนวทางการลดผลกระทบ และสร้างศักยภาพการตระหนักรู้เรื่องคุณภาพน้ำที่ปนเปื้อนให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ส่งเสริมความร่วมมือ การแลกเปลี่ยนข้อมูล” ผู้แทน MRC กล่าว
ร.ต.อ.เด่นวุฒิ จันต๊ะขัติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะช้าง อ.แม่สาย จ.เชียงราย กล่าวว่า เท่าที่ไปเวทีต่างๆมักให้ความสำคัญเรื่องการค้ามากกว่าด้านสังคมทั้งๆที่ปัญหาจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี ที่ผ่านมาภาครัฐก็เห็นความาสำคัญเรื่องการค้าอย่างเดียว เช่น เรื่องการนำเข้าแร่ แต่การขุดแร่กลับนำทุกข์มาให้ประชาชน รัฐบาลได้ใช้เม็ดเงินในโครงการที่ไม่ตอบโจทย์ สิ่งที่เป็นห่วงคือเรื่องน้ำอุปโภคบริโภคเชื่อว่าน้ำเหล่านี้ 5-10 ปีจะแก้ปัญหาได้หรือไม่
นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ ได้นำเสนอแผนที่ลุ่มน้ำโขงซึ่งมีจำนวนเหมืองแร่ต่างๆ รวมทั้งเหมืองแร่แรร์เอิร์ท ที่ต้นน้ำกก 2 แห่งต้นน้ำสาย 1 แห่ง และมีบนลุ่มน้ำสาขาของแม่น้ำโขงในลาวอีกหลายสิบเหมือง
“หากเราจะทำงานแก้ปัญหาข้ามพรมแดน ก็ต้องพึ่งพา MRC และ LMC (กรอบความร่วมมือแม่น้ำล้านช้างแม่น้ำโขง ที่นำโดยจีน) ซึ่ง MRC พูดถึงการควบคุมคุณภาพน้ำ แทบทุกลำน้ำขณะนี้มีเหมืองหมด นี่ไม่ใช่ปัญหากระจอกงอกง่อย แต่เป็นปัญหาภูมิภาค MRC ต้องทำข้อมูลให้ชัดเจนในทุกมิติ เก็บข้อมูล ไม่เช่นนั้นจะนำไปต่อรองไม่ได้ ฝาก MRC ที่เกาะเกี่ยว LMC ซึ่งเดือนธันวาคมนี้จะมีประชุมซึ่งครอบคลุมทั้ง 6 ประเทศ ” นายนิวัฒน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แผนที่ที่นายนิวัฒน์อ้างถึงเป็นของ Stimson Center ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยด้านนโยบายของสหรัฐอเมริกาที่ได้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับแม่น้ำโขงและยังได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่โดยใช้ภาคถ่ายดาวเทียมโดยเฉพาะเหมืองแร่แรร์เอิร์ท ซึ่งระบุว่า พบเหมืองแรร์เอิร์ทในประเทศต่างในเอเชียงตะวันออกเฉียงใต้ 483 แห่ง โดยพื้นที่ที่มีเหมืองแรร์เอิร์ทมากคือในพม่าและภาคเหนือของลาว รวมทั้งในเวียดนาม ทั้งนี้นอกจากในรัฐคะฉิ่นแล้ว ยังพบว่าบริเวณต้นแม่น้ำเหลยในรัฐฉานมีเหมืองแรร์เอิร์ทกว่า 20 แห่งโดยแม่น้ำเหลยไหลลงแม่น้ำโขง
นส.เพียรพร ดีเทศน์ International Rivers กล่าวว่ามีข้อเสนอแนะต่อปัญหาแม่น้ำโขงและมลพิษจากเหมืองแร่นอกกฎหมายในพม่าที่ส่งผลกระทบข้ามพรมแดนต่อแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขา คือ อยากเห็นบทบาทของ MRC ทำหน้าที่ประสานงาน หารือและเจรจากับเมียนมาและจีน เพื่อหยุดต้นทางของมลพิษ คือเหมืองเถื่อนเหล่านี้ และตั้งจุดตรวจสารโลหะหนัก ตลอดแนวแม่น้ำโขง เพื่อให้ประชาชนในลุ่มน้ำสามารถทราบข้อมูลอย่างทันท่วงที และกรณี MRC ตรวจพบสารพิษในแม่น้ำโขง สามเหลี่ยมทองคำ-เชียงของ เชื่อว่าหากสร้างเขื่อนปากแบงจะเป็นการซ้ำเติมปัญหา MRC ต้องมีบทบาทนำในการศึกษา ตั้งสถานีตรวจคุณภาพน้ำ เลื่อนการก่อสร้างโครงการเขื่อนปากแบงและวันกำหนดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ออกไปจนกว่าจะศึกษาแล้วเสร็จเพื่อป้องกันผลกระทบที่ไม่อาจหวนคืนได้
ดร.สืบสกุล กิจนุกร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่าขณะนี้เรากำลังเผชิญความซับซ้อนของความเสี่ยงข้ามพรมแดน ทางออกของปัญหามีหลายด้าน ซึ่งการประชุมที่ MRC จัดวันนี้สำคัญมาก ที่ผ่านมาเราพบการแก้ปัญหาโดยการก่อสร้าง โครงสร้าง ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้าน ปัญหานี้คือ non-state actor คือกองกำลังว้า ภาคประชาสังคมในเชียงรายทำงานเรื่องนี้ทุกวันเพื่อหาความร่วมมือและทางออก
“เราต้องเลิกพูดว่าสารพิษไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน ประชาชนมีสิทธิที่จะรู้ ทางแก้ปัญหาคือปิดเหมืองถาวร และการเจรจากับจีน พม่า ว้า และสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งไปรัฐคะฉิ่นมาเรื่องแร่ การยุติเหมือง ภาครัฐบอกว่า ยากแต่เราไม่เคยทำเลย เรากลัวใครอยู่หรือ เราต้อวทำมากกว่านี้ ตอนนี้น้ำท่วมที่มากับสารพิษจะให้ประชาชนต้องทำอย่างไร เราพูดในนามลูกหลาน เราต้องการชีวิตกลับคืนมา คืนรอยยิ้ม เราต้องการศูนย์ตรวจโลหะหนักในเชียงราย ต้องการความโปร่งใสของการตรวจสอบ”
Sibella Stern เลขานุการเอก สถานทูตออสเตรเลีย กล่าวว่า MRC มีบทบาทสำคัญเนื่องจากนี่คือปัญหาข้ามพรมแดน ขอสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกและประชาสังคมใได้ใช้บทบาทของ MRC ในการทำข้อมูลและการหารือกับเมียนมาและจีน อยากให้ทำงานกับองค์กรประชาสังคมและชุมชนแบบนี้ และให้มีพื้นที่แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
“ที่ออสเตรเลีย เรามีปัญหาการจัดการปัญหาน้ำที่ปนเปื้อนสารโลหะหนักและผลกระทบจากการทำเหมือง Bedigo mines เป็นเหมืองทองที่ทำไปเมื่อ 175 ปีที่แล้ว ยังคงมีปัญหาสารหนู ซึ่งเราต้องบำบัด โดยมีแนวทางการจัดการคุณภาพน้ำแห่งชาติออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งเน้นการหารือและมีส่วนร่วม การให้ความเท่าเทียมของทุกฝ่ายที่ใช้ทรัพยากรแม่น้ำ” Sibella Stern กล่าว
ในวันเดียวกันนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วย น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินทางไปเยือนกรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อเข้าพบและหารืออย่างเป็นทางการกับ นายขิ่น ม่อง ยี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเมียนมา เกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือ ด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการบริหารจัดการคุณภาพน้ำอย่างยั่งยืน
นายประเสริฐ กล่าวว่า ผลการหารือคือ 1. ทั้งสองฝ่ายในฐานะประเทศเพื่อนบ้านได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริมความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการจัดการคุณภาพน้ำ 2. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการหารือประสานงานกันบ่อยครั้งยิ่งขึ้น 3. ได้หารือเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะทำงานด้านวิชาการร่วม (Joint Technical Working Group) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม
“ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม และคุณภาพน้ำ ที่จะเดินหน้าแก้ไขร่วมกันนั้น ส่วนสำคัญจะเป็นการตอบโจทย์ประชาชนเกี่ยวกับกระแสข่าวก่อนหน้านี้เรื่องสารปนเปื้อในแม่น้ำสายต่างๆ อาทิ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย ซึ่งที่ผ่านมาส่งผลกระทบงต่อวิถีชีวิตของประชาชน” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
////////////////