เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางานเปิดเผยถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบในมาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักในพื้นที่ชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาว่า ต้องมีการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยและประกาศกระทรวงแรงงานเพื่อรองรับ ซึ่งอาจมีการประสานกับนายจ้างให้แจ้งความต้องการเข้ามายังกรมการจัดหางาน แล้วจึงจัดสรรให้เพราะแรงงานมีจำกัดอยู่ที่ 4.2 หมื่นคน โดยนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานต้องการให้มีการจัดสรรอย่างเหมาะสม ซึ่งความต้องการเร่งด่วนมีทั้งภาคก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม ซึ่งต้องดูทักษะของคนงานก่อน
นายอดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG)กล่าวว่า ปกติมีผู้ลี้ภัยออกมาทำงานข้างนอกอยู่แล้ว เขาสามารถหานายจ้างได้ เพราะที่น่ากังวลใจคือเรื่องระบบนายหน้าที่ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น หากให้นายจ้างมาแจ้งความต้องการกับกรมการจัดหางาน หากให้คนงานในค่ายผู้ลี้ภัยมีโอกาสแจ้งความต้องการก่อนว่าต้องการออกมาทำงานกับนายจ้างคนใดก็ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาไปจับคู่ใหม่ ส่วนคนที่ไม่มีนายจ้างก็ปล่อยให้กรมการจัดหางานเข้ามาดูแล ควรใช้ทั้งสองรูปแบบควบคู่กันไป
ทั้งนี้ ครม.มีมติเห็นชอบในร่างประกาศที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักร เป็นกรณีพิเศษออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมตามมติ ครม. เมื่อวันที่ …และ ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักร เป็นกรณีพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ … โดยให้กระทรวงแรงงาน(รง.) โดยกรมการจัดหางาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความ เข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง
สำหรับสาระสำคัญที่ รง. เสนอคือ 1. รัฐบาลได้มีนโยบายช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมแก่คนต่างด้าวกลุ่มผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา โดยรัฐบาลไทยขณะนั้นได้ผ่อนปรนให้ผู้หนีภัยการสู้รบอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว 9 แห่ง จำนวน 77,718 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2568) และให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านการแพทย์ ด้านอาหารซึ่งเป็นการดำเนินการร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันองค์กรเหล่านั้นได้มีการปรับลดงบประมาณการให้ความช่วยเหลือ ส่งผลทำให้ภาระในการดูแลคนต่างด้าวดังกล่าวตกแก่รัฐบาลไทยเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นเพื่อบรรเทาภาระของรัฐและเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ตลอดจนแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน จึงมีความจำเป็นต้องผ่อนผันให้กลุ่มคนต่างด้าวดังกล่าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเพื่อทำงานสามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวต่อไป ซึ่งกรมการปกครอง ได้ตรวจสอบสถานะและจัดทำฐานข้อมูลทางทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ควบคู่ไปกับการสำรวจ ความต้องการประกอบอาชีพ ที่ รง. จะส่งเสริมให้สามารถทำงานได้ในเขตพื้นที่และเงื่อนไขที่กำหนด
สำหรับมาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว ดำเนินการภายใต้เงื่อนไข 1. ให้คนต่างด้าวกลุ่มเป้าหมายยื่นขออนุญาตออกนอกเขตพื้นที่ควบคุม เพื่อทำงาน โดยผู้มีอำนาจพิจารณาคือ นายอำเภอหรือปลัดอำเภอที่ได้รับมอบหมาย 2. ให้คนต่างด้าวไปดำเนินการตรวจสุขภาพกับสถานพยาบาลของรัฐและขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตน สำหรับคนต่างด้าวซึ่งทำงานในกิจการหรือเป็นลูกจ้าง ที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม จะต้องทำประกันสุขภาพตามประกาศ สธ. ว่าด้วยการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว
3. ยื่นคำขออนุญาตทำงานพร้อมเอกสารและหลักฐานตามที่กำหนดไว้ในแบบคำขอด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ เอกสารจัดทำทะเบียนผู้หนีภัยจากการสู้รบฯ เอกสารที่ได้รับอนุญาตออกนอกเขตพื้นที่ควบคุม ใบรับรองแพทย์ หลักฐานประกัน สุขภาพแรงงานต่างด้าวกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมทั้งชำระค่าธรรมเนียมค่า ยื่นคำขอฉบับละ 100 บาท ทั้งนี้ ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานในครั้งแรก ของการขออนุญาตทำงาน
4. ให้นายทะเบียนอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานได้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่งอนุญาตให้ทำงาน โดยมีสิทธิทำงานกับนายจ้างได้ทุกประเภทที่มิได้ประกาศห้ามคนต่างด้าวทำ
วันเดียวกันภายหลังจากมีมติครม.ให้ผู้ลี้ภัยออกมาทำงานนอกค่ายพักพิงได้ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้แสดงความชื่นชมต่อการที่รัฐบาลไทยมีมติอนุมัติให้ผู้ลี้ภัยจากเมียนมาร์ซึ่งพำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน ได้รับสิทธิในการทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยระบุว่านโยบายใหม่นี้สะท้อนถึงการตระหนักถึงสถานการณ์การพลัดถิ่นยืดเยื้อของประชาชนราว 81,000 คนที่อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวตลอดแนวชายแดนไทย-เมียนมาร์
UNHCR ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานอย่างถูกกฎหมายและมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงต่อเศรษฐกิจไทย ผู้ลี้ภัยจำนวนมากอาศัยอยู่ในค่ายมานานหลายทศวรรษและต้องพึ่งพาความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพียงอย่างเดียว โดยประมาณร้อยละ 47 ของประชากรทั้งหมดเกิดในศูนย์พักพิงชั่วคราว
“เป็นเวลานานเกินไปแล้วที่การลี้ภัยยืดเยื้อเปรียบเสมือนการรอคอยที่ไม่รู้จบ” แทมมี ชาร์ป ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทยกล่าว “วันนี้คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ด้วยการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้ ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนการเป็นเจ้าภาพผู้ลี้ภัยให้กลายเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโต ทั้งสำหรับผู้ลี้ภัย ชุมชนท้องถิ่น และประเทศโดยรวม”
“ด้วยการปลดล็อกศักยภาพของผู้คนเหล่านี้ ประเทศไทยไม่เพียงยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม แต่ยังเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์เพื่ออนาคตของตนเอง ผู้ลี้ภัยจะสามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการบริโภคที่เพิ่มขึ้น สร้างการจ้างงาน และมีส่วนต่อการเติบโตของ GDP และความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศ”