เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 นายเฮโซ (Hayso )1 ในคณะกรรมการผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยง (Karen Refugee Committee-KRC) ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวชายขอบถึงสถานการณ์ในค่ายผู้ลี้ภัย (ศูนย์พักพิงชั่วคราว)ภายหลังจากสหรัฐอเมริกาตัดความช่วยเหลือด้านอาหารและสุขภาพว่าขณะนี้ยังมีกลุ่มเปราะบางจำนวนหนึ่งยังคงได้รับความช่วยเหลือไปถึงสิ้นปี แต่ประชากรในค่ายสวนใหญ่เป็นกลุ่มคนทั่วไป (standard) ซึ่งไม่ได้รับอาหารแล้ว ดังนั้นตอนนี้ตนห่วงว่าอาหารจะไม่พอเพราะถูกตัด ซึ่งจะกระทบหลายๆ ด้านในค่าย ขณะนี้คณะกรรมการผู้ลี้ภัยได้มีการจัดสรรข้าวสารให้ผู้ที่ทำหน้าที่ต่างๆ ในค่าย เช่น เจ้าหน้าที่สาธารณสุข พยาบาล ครู กรรมการ และรปภ.
“เรายังให้กลุ่มผู้ลี้ภัยที่ทำงาน แต่มีข้าวที่จัดสรรให้ได้จำกัดมากคือ 5 กก. ต่อเดือน เรามีเจ้าหน้าที่รวมหลายร้อยคนในค่ายต่างๆ ที่คณะกรรมการเราดูแลอยู่ อาจจะพอให้ได้อีกเกือบ 2 เดือน น่าจะถึงพฤศจิกายน แต่สำหรับผู้ลี้ภัยเราช่วยไม่ได้” นายเฮโซกล่าว และว่าสำหรับด้านสุขภาพ องค์กร IRC (International Rescue Committee) ได้ส่งงานต่อให้แก่โรงพยาบาลอำเภอดำเนินการต่อ
ผู้สื่อข่าวถามว่าผลกระทบที่น่ากังวลที่สุดคืออะไร นายเฮโซกล่าวว่า แผนระยะสั้น คือควรให้อาหารบางส่วนไปก่อน “ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ท้องหิวแล้วเขาต้องทำอย่างไรกัน เราไม่อยากเห็นผลต่อเนื่อง หากท้องหิวก็ต้องหาทางกัน หางานทำ ออกไปหางานทำ ความหิวเป็นเรื่องที่น่าห่วงที่สุด ห่วงว่าเราจะรักษาสถานการณ์ให้ค่ายให้เป็นปกติได้ต่อไปอย่างไร”
นายเฮโซกล่าวว่า เป็นข่าวดีที่คณะรัฐมนตรีของไทยมีมติให้ผู้ลี้ภัยออกไปทำงานด้านนอกได้ พวกตนดีใจมาก เพราะคือการแก้ปัญหาระยะยาว โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่เกิดและเติบโตอยู่ในค่ายมาทั้งชีวิต และเราอยากเห็นระเบียบปฏิบัติว่าจะออกมาอย่างไรต่อ
“คนรุ่นใหม่ในค่ายได้มีการอบรมอาชีพกันมาแล้ว พูดภาษาอังกฤษได้ ส่วนใหญ่เป็นวัยแรงงาน ซึ่งจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างเศรษฐกิจของไทย หรือทำงานในภาคเกษตรได้”นายเฮโซ กล่าว
นายเฮโซกล่าวว่า คนที่จะออกไปทำงานก็จะส่งรายได้มาช่วยคนในค่ายเพื่อเลี้ยงครอบครัวที่ยังอาศัยในค่ายผู้ลี้ภัย อย่างไรก็ตามยังไม่ทราบแผนของทางการไทยว่ากระบวนการในการให้ออกไปทำงานเป็นอย่างไรเพื่อที่จะได้ร่วมวางแผนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ หรือถูกเอาเปรียบแรงงาน
“อีกประการคือไม่รู้ว่าครอบครัวจะส่งสมาชิกไปทำงานแล้ว คนที่เหลือในครอบครัวจะสามารถออกไปด้วยได้หรือไม่ หรือให้ออกไปทำงานเฉพาะแรงงานเท่านั้น อยากเห็นขั้นตอนว่ามีแนวทางอย่างไร เด็กๆ คนแก่ ที่ไม่ใช่แรงงานจะอาศัยอยู่ในค่ายอย่างไร อยากเห็นการหารือแผนเรื่องนี้ร่วมกัน”กรรมการผู้ลี้ภัย กล่าว
นายเฮโซกล่าวว่าคณะกรรมการ KRC ได้ประชุมกันแล้ว หลังจาก ครม.มีมติให้ออกไปทำงานด้านนอกได้โดย ระดมสมองกันว่าผลกระทบ ทั้งบวกและลบจะเป็นอย่างไร และจะจัดการอย่างไร
“เราเข้าใจว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ และเป็นเรื่องบวกสำหรับผู้ลี้ภัย ให้เราออกไปทำงานได้ และได้เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจไทย แต่ก็อยากทราบขั้นตอนการปฏิบัติว่าการจัดการอย่างไร และแผนจัดการค่ายว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป การบริหารค่าย ซึ่งอยู่ภายใต้อำเภอ ในชีวิตประจำวันคณะกรรมการผู้ลี้ภัยมีระบบจัดการตนเอง ทั้งการจัดการศึกษา สาธารณสุข ได้จัดการเอง แต่หากแรงงานออกไปทำงานข้างนอก ก็คงมีช่องว่างว่าเด็กๆ ที่อยู่ในค่าย การศึกษาใครจะดูแล เยาวชนใครจะดูแล หากพ่อแม่ออกไปหมด เราได้หารือกันในเรื่องเหล่านี้”นายเฮโซ กล่าว
เมื่อถามว่าคนในค่ายไม่เคยออกไปข้างนอกมาก่อน รู้สึกเป็นห่วงหรือไม่ หากเดินทางไปทำงานในเมืองใหญ่ กรรมการ KRC กล่าวว่าก่อนไปคงจะต้องมีการให้ข้อมูลว่าทำงานที่ไหน บริบทของเมืองสถานที่ทำงาน เพื่อให้เข้าใจบริบทใหม่ ซึ่งก็คงไม่ยากมากเพราะสามารถปรับตัวได้ ทุกคนก็อยู่ที่นี่มาโดยตลอด เห็นจากข่าวเห็นจากสื่อ
“เมื่อวานคณะกรรมการ KRC หารือว่าหากมีการอบรมให้ก่อน ให้ผู้ลี้ภัยเข้าใจวัฒนธรรม ว่าต้องระวังอะไร มีกฎระเบียบ กฎหมายอย่างไร จะได้ทราบและเตรียมตัว ตอนนี้ผมไม่ทราบชัด เป็นเรื่องใหม่เพิ่งเกิด” กรรมการผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยง กล่าว
ขณะที่ขณะที่นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เห็นชอบมาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา รวมทั้งเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมตามมติ ครม. และประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษตามมติ ครม. เป็นผลให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่ง สามารถเดินทางออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมเพื่อทำงานในไทยได้ นั้น
.
นายวสันต์กล่าวว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ขอขอบคุณ ครม. ที่เห็นชอบให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาสามารถเดินทางออกไปทำงานนอกเขตพื้นที่พักพิงชั่วคราวได้ เนื่องจากที่ผ่านมา ผู้หนีภัยจำนวนมากต้องอยู่ภายในค่ายพักพิงชั่วคราวโดยไม่มีอนาคต ขาดมาตรฐานการครองชีพที่เหมาะสมและเพียงพอ โดยบางคนอยู่มานานถึง 40 ปี เป็นเหตุให้ต้องลักลอบออกมาเป็นแรงงานในชุมชนใกล้เคียงและมักถูกแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เช่น จำต้องยินยอมให้ถูกเอารัดเอาเปรียบค่าจ้าง หรือถูกเรียกรับเงินเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมเมื่อเดินทางออกนอกพื้นที่ อีกทั้งปัจจุบันรัฐบาลต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาตัดงบประมาณที่เคยให้การสนับสนุน มาตรการของรัฐในครั้งนี้จึงเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ ทันต่อสถานการณ์ และคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้หนีภัยการสู้รบ
.
“มาตรการของรัฐครั้งนี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยในเชิงเศรษฐกิจ ลดการลักลอบทำงานผิดกฎหมาย ลดภาระของรัฐในการดูแลผู้หนีภัยในระยะยาว และเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้หนีภัยได้มีสิทธิในการทำงานและสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี”นายวสันต์ กล่าว
————–