เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 นายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศ ( Climate Connectors) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการตรวจพบเหมืองแรร์เอิร์ทบริเวณต้นแม่น้ำโขงในเขตเมืองป๊อกและเมืองลาซึ่งอยู่ภาคตะวันออกของรัฐฉานใกล้ชายแดนประเทศจีน ว่าข้อมูลของทบวงพลังงานระหว่างประเทศชี้ให้เห็นชัดว่า ผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้นคือพม่าเพราะว่าสัดส่วนและศักยภาพในการเป็นแหล่งผลิตแรร์เอิร์ทโดยเฉพาะชนิดหนัก 4 ตัว ที่นำเอาไปทำแม่เหล็กซึ่งจีนต้องพึ่งพาจากเหมืองแรร์เอิร์ทในรัฐคะฉิ่นและรัฐฉาน ขณะเดียวกันภาพถ่ายทางอากาศยังทำให้เห็นว่าพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศลาวก็มีการทำเหมืองแรร์เอิร์ทเช่นเดียวกัน
นายธารากล่าวว่า นอกจากนี้ในส่วนของประเทศเวียดนามก็เป็นแหล่งผลิตให้กับจีนและตลาดโลกเช่นกัน ซึ่งหากสหรัฐเห็นช่องทางนี้ก็อาจจะวิ่งเข้ามาเวียดนามมากกว่าวิ่งเข้าหาพม่าเพราะมีแนวโน้มสูงมากกว่า เวียดนามมีแหล่งแรร์เอิร์ทเยอะพอๆกับพม่าแต่ยังข้อมูลออกมาน้อย
“ขณะนี้อเมริกาพยายามเข้าไปทางพม่า แต่ในพม่ามีปัญหาเรื่องการตรวจสอบย้อนกลับของปัญหาสิทธิมนุษชน หากสหรัฐฯจะแย่งตลาดแรร์เอิร์ทในพม่าก็จะเป็นความเสี่ยงของสหรัฐเอง แต่ถ้าหันไปที่เวียดนามก็จะดูดีกว่า แต่ข้อมูลที่น่าตกใจคือข้อมูลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนใหญ่ที่เห็นได้ชัดว่าเหมืองแรร์เอิร์ทอยู่ทั้งในรัฐฉานตอนเหนือที่ติดกับจีนและรัฐฉานตอนล่างที่อยู่ติดกับไทยซึ่งไม่น่าจะมีอะไรที่หยุดเขาได้ในขณะนี้ แถมในลาวก็มีแนวโน้มที่จะมีเหมืองแรร์เอิร์ทมากขึ้น กลายเป็นวิกฤตหรือคำสาปด้านทรัพยากรของประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง ถ้าไปเชื่อมโยงกับเรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงาน”นายธารา กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าเหมืองแรร์เอิร์ทมากมายอยู่บริเวณต้นแม่น้ำโขง ควรรับมืออย่างไรดี ผู้อำนวยการ Climate Connectors กล่าวว่า มันจะไปซ้ำรอยกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในจีนเมื่อกว่า 10 ปีก่อน ซึ่งตอนนั้นมีการตื่นแร่แรร์เอิร์ทในจีนและมีเหมืองเกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะในพื้นที่ทางตอนใต้ของจีนที่เป็นแรร์เอิร์ทหนักซึ่งเป็นละติจูดเดียวกับคะฉิ่นและรัฐฉาน ต่อมาทางการจีนได้ทำการกวาดล้างเหมืองเล็กๆให้ไปควบรวมเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐ และออกกฎระเบียบที่เข้มงวด ทำระบบตรวจสอบย้อนกลับเฉพาะในบ้านของตัวเองเพื่อให้ตรวจสอบว่าต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
“ผมคิดว่ากรณีของลุ่มน้ำโขงเป็นความท้าทาย 4 ประเทศคือพม่า ไทย ลาวและเวียดนาม ไทยควรมีมาตรการที่เข้มข้นและยกระดับมาตรการตรวจสอบย้อนกลับ เมื่อมีแรร์เอิร์ทหรือแร่อื่นๆเข้าประเทศไทย ทั้งจาก พม่าลาวรวมถึงมาเลเซีย สินแร่เหล่านั้นต้นทางมาอย่างไร มาจากเมืองแบบไหน ซึ่งในสถานะแบบนี้ประเทศไทยต้องยกระดับ ล้อไปกลับอาเซียน”นายธารา กล่าว
ผู้อำนวยการ Climate Connectors กล่าวว่า ขณะเดียวกันบริเวณรัฐฉานก็ยังมีเมืองทองด้วยเช่นกัน ประเทศไทยอยู่ในจุดที่เป็นพื้นที่สำคัญโดยเฉพาะที่ จ.เชียงรายที่เป็นเหมือนจุดตัดของมลพิษในแม่น้ำที่มาจากเหมืองแร่ในรัฐฉาน
ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ประเทศไทยเป็นผู้นำเรียกร้องด้านสิทธิมนุษยชนสำหรับประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง นายธารากล่าวว่า เป็นไหได้ถ้าเราได้รัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์โดยเฉพาะมีเจตจำนงค์ที่แน่วแน่เพราะวิกฤตครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสครั้งหนึ่งจึงขึ้นอยู่กับภาวะผู้นำทางการเมืองของประเทศ ว่าจะเห็นตรงนี้หรือไม่ ที่จะแปลวิกฤตให้เป็นโอกาส
“เราควรนำอาเซียนร่วมกันหาทางออกในวิกฤตนี้ ซึ่งจีนเขาทำได้ตั้งแต่กวาดล้างเมืองเถื่อนและควบรวมกระบวนการผลิต เขาจัดการปัญหาในบ้านเขาได้ แต่ก็เอาปัญหาไปไว้บ้านคนอื่นทั้งที่คะฉิ่นและรัฐฉาน ไทยถึงจุดที่ว่าจะไปประสานกับจีนอย่างไรที่ไม่ทำให้เขาเสียหน้า”นายธารา กล่าว
วันเดียวกันเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง และองค์กรภาคประชาชน 19 องค์กรได้ส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อขอให้ยกเลิกโครงการสร้างก่อสร้างม่านน้ำดักตะกอน แม่น้ำกก แม่น้ำสาย โดยระบุว่าด้วยกรมทรัพยากรน้ำ ในฐานะคณะทำงานพิจารณารูปแบบและวิธีการดักตะกอน เพื่อแก้ไขปัญหาคุณภาพนํ้าในพื้นที่แม่นํ้ากกและแม่นํ้าสาย ได้ดำเนินการปรับรูปแบบการสร้างฝายดักตะกอน เป็นรูปแบบม่านน้ำดักตะกอน จำนวน 4 แห่ง ในลำน้ำกก ด้วยงบประมาณก่อสร้าง 173 ล้านบาท ซึ่งจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบภายในเดือนกันยายน 2568 และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนธันวาคม 2568 นั้น มีข้อท้วงติงต่อความไม่เหมาะสมของโครงการนี้ และขอให้นายกรัฐมนตรีระงับโครงการไว้ก่อน ด้วยเหตุผลดังนี้
1.กรมทรัพยากรน้ำ ยังไม่ได้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นของโครงการนี้ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด 2. ข้อมูลที่มีการเปิดเผยระบุว่างบประมาณในโครงการก่อสร้างม่านน้ำดักตะกอน จำนวน 173 ล้านบาทนั้น แต่ในข้อเท็จจริง ต้องใช้งบประมาณมากกว่าที่ระบุไว้มาก อาทิ ค่าชดเชยที่ดินทำกินของชุมชน ค่าก่อสร้างระบบการขนส่งใหม่ให้รองรับการขนส่งตะกอนไปกำจัดนอกพื้นที่
3. โครงการนี้ ไม่มีความชัดเจนว่า ปริมาณตะกอนที่สูบออกและนำไปบำบัดได้นั้น คิดเป็นปริมาณร้อยละเท่าไหร่ ของปริมาณตะกอนในแม่น้ำกก และสามารถลดการปนเปื้อนสารโลหะหนักใดได้บ้าง ปริมาณมากน้อยเพียงใด มี 4. องค์ประกอบของการก่อสร้างม่านน้ำดักตะกอนในแต่ละแห่ง จะประกอบด้วยการสร้างฝายในลำน้ำ 2 ชั้น, ม่านดักตะกอน, บ่อตกตะกอน และลานตากตะกอน ซึ่งการก่อสร้างทั้งหมด จะต้องใช้พื้นที่ป่าไม้และพื้นที่การเกษตรของชุมชน ในปัจจุบันยังไม่มีการประชุมชี้แจงเป็นทางการในระดับชุมชน
“นอกจากนี้ ด้านเหนือของฝายดักตะกอน จะชะลอการไหลของน้ำ ส่งผลให้เกิดการตกตะกอนที่มากขึ้นในพื้นที่เกษตรน้ำท่วมถึง ซึ่งจะส่งผลต่อการปนเปื้อนในพื้นที่เกษตรสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการปนเปื้อนในผลผลิตการเกษตรที่สูงขึ้นและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่เหล่านี้ ด้วยเหตุผลถึงความไม่เหมาะสม ไม่สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาผลกระทบการปนเปื้อนสารโลหะหนัก ขอให้ นายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาระงับโครงการม่านน้ำดักตะกอนของกรมทรัพยากรน้ำ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ที่ไม่มีการศึกษาและหลักประกันใด ๆ ว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน”หนังสือระบุ
———–