Search

เปิดฉาก “สัปดาห์สิ่งแวดล้อมแม่โขง-อาเซียน 2025” ชูประเด็น “เขียวลวง” ชุมชนรับผลกระทบท้าทายอำนาจรัฐ-ทุนพลังงาน

เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2568 ที่ อ.เมือง จ.นครพนม เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมร่วมกันจัดงาน “สัปดาห์สิ่งแวดล้อมแม่โขง-อาเซียน 2025” (Mekong-ASEAN Environmental Week: MEAW) ภายใต้ธีม “The Fake Green เขียวลวง: ปฏิบัติการฟอกเขียวในภูมิภาคกับพลังประชาชน” ระหว่างวันที่ 27-30 กันยายน โดยมีนักกิจกรรม เยาวชน ชาวบ้าน และนักวิชาการ จากภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าร่วม

ในวันนี้ถือเป็นวันแรกของกิจกรรม “MEAW 2025 เขียงลวง” อย่างเป็นทางการ โดยในการเปิดงานมีการเชิญตัวแทนนักสิ่งแวดล้อมและตัวแทนชุมชน ร่วมกันเสนอแนวคิดและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม

นายอำนาจ ไกรจักร ตัวแทนเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มแม่น้ำโขง กล่าวว่า ตนอยู่กับแม่น้ำโขงมา 60 กว่าปี ตอนเด็ก ๆ แม่น้ำโขงมีความอุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อมีการสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำโขงในจีน ช่วงแรก ๆ อาจยังไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนไทยมากนัก แต่นับตั้งแต่มีเขื่อนตัวอื่นๆในลาวตามมาผลกระทบเกิดขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่ไทยพยายามอ้างว่าไทยมีความต้องการพลังงานไฟฟ้า แต่ข้อเท็จจริงไทยมีพลังงานไฟฟ้าสำรองเกินความต้องการแล้ว เมื่อเกินผลกระทบกับชุมชนริมแม่น้ำโขง

น.ส.กิ่งกร นรินทรกุล รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี และผู้ประสานงานเครือข่าย ‘กินเปลี่ยนโลก’ กล่าวว่า กระบวนการเขียวลวงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนทำงานด้านความมั่นคงทางอาหาร เพราะกระบวนการผูกขาดทางอาหารเกิดขึ้นมานานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ บริษัทยักษ์ใหญ่บอกว่าอาหารที่ขายถูกกว่า สะอาดกว่า ปลอดภัยกว่า แต่ข้อเท็จริงแล้วคือการผลักภาระด้านสุขภาพและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเให้กับผู้บริโภคและชุมชนมาโดยตลอด นี่คือการแย่งชิงทางวาทกรรมที่เกิดขึ้นตลอดมา ยกตัวอย่างกรณีปลาหมอคางดำ ที่ล่าสุดนักสิ่งแวดล้อมถูกบริษัทฟ้อง และมีการทุ่มงบประมาณเพื่อครอบงำสื่อควบคุมสื่อในการนำเสนอข่าว

นายภูมิ เพชรไพวัน จาก สปป.ลาว กล่วว่าตนมีประสบการณ์ทำสารคดีในลาวมานาน ได้สื่อสารเรื่องราวแม่น้ำโขงและประเพณีพื้นบ้านให้คนลาวในประเทศและคนลาวอพยพได้เรียนรู้การพัฒนาต่าง ๆ บนแม่น้ำโขง ปัจจุบันแนวคิดสมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm) เป็นสิ่งที่ลาวให้ความสนใจ เพราะลาวมีดิน อากาศ แสงแดด คนลาวจำเป็นต้องรู้จักการปรับปรุงดิน ปลูกข้าวให้ได้ดี กินให้อิ่มก่อน แล้วจึงพูดเรื่องการหาเงิน

“ลาวกำลังมีบริษัทใหญ่จากไทยเข้ามา มีร้านสะดวกซื้อยี่ห้อดังจากไทย มีหมูไก่แช่แข็งขาย เขาบอกชาวบ้านว่าไม่ต้องเลี้ยงสัตว์แล้ว ซื้อกินสะดวกกว่า แต่ชาวบ้านบอกว่าไม่อร่อย หากพัฒนาฟาร์มได้ จะทำให้ชาวนา ชาวบ้านที่ทำเกษตรคนเล็กคนน้อยสามารถมีอาหารกินอิ่มท้องและมีเงินใช้จ่าย ชาวบ้านลาวต้องมีศักดิ์ศรีไม่ใช่คนที่อยู่ในสวนสัตว์”นายภูมิ กล่าว

Hendro Songkoyo จาก School of Democratic Economic จากประเทศอินโดนีเซีย กล่าวว่า คนอินโดนีเซียเจอคำถามคล้าย ๆ กับคำถามของคนแม่น้ำโขง คือหากไม่รักษาสิ่งแวดล้อมของแม่น้ำหรือเกาะ คนก็ไม่สามารถอยู่ได้ ผืนป่าในอินโดนีเซียกำลังเจอวิกฤติความเสื่อมโทรมตั้งแต่ ค.ศ.1984-2012 ที่เป็นปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข แม่น้ำเป็นแหล่งทรัพยากรที่เสื่อมลงเรื่อย ๆ

Winnie Overbeek จาก World Rainforest Moverment กล่าวว่า ในลาตินอเมริกาและเอเชียมีโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ในด้านโครงสร้างพื้นฐานคล้ายๆ กัน สิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตพวกเราดีขึ้นจริงหรือ ที่บราซิลกำลังมีโครงการสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมสองฝั่งของประเทศ โดยอ้างว่าจะมีการเร่งฟื้นฟูธรรมชาติที่ถูกทำลายไป หรือในประเทศมาดากัสการ์มีการทำเหมืองขนาดใหญ่ขนาด 6 พันเฮกตาร์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่มีธรรมชาติที่สมบูรณ์มาก แต่ห้ามชาวบ้านเข้าป่าไปหากิน และให้ไปทำงานในเหมืองแทน โครงการเหล่านี้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นจริงหรือไม่ สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นการช่วยเหลือชุมชน แต่จริง ๆ คือการยื้อแย่งที่ดินของชาวบ้าน แล้วเข้ามาจัดทำ

จากนั้นมีการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันของเครือข่ายและตัวแทนชุมชนที่เข้าร่วมงานเพื่อเปิดงาน “สัปดาห์สิ่งแวดล้อมแม่โขง-อาเซียน 2025” โดยมีตัวแทนกล่าว

น.ส.สดใส สร่างโศก ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนจับตาน้ำท่วมอุบล-เขื่อนแม่น้ำโขง กล่าวว่า แม่น้ำโขงคือสายใยของผู้หญิงหลายสิบล้านคน พึ่งพาแม่น้ำหลายชุมชน หลายครอบครัว ฉันเติมโตมากับแม่น้ำโขงและแม่น้ำมูล เห็นนความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น น้ำที่ขึ้นลงผิดเพี้ยน ฤดูกาลผิดปกติ ฉันเคยกินข้าวที่อิ่มหนำสำราญ แต่วันนี้ผู้คนที่เคยหาปลาอย่างเบิกบานใจ เคยแข่งกันกับปลาที่ร้อง จ๊อก ๆ โจ๊ก ๆ วิถีเหล่านี้กำลังหายไป ผู้หญิงที่หาอาหารเลี้ยงครอบครัว เป็นผู้ที่สั่งสอนให้เด็กเคารพชุมชน เรากำลังเจอกับปัญหาท้าทาย ไม่ว่าจากเขื่อนหรือเหมืองที่เกิดมลพิษในแม่น้ำ

สำหรับกิจกรรมช่วงบ่ายมีการแบ่งห้องสัมมนาย่อยตามประเด็นอาทิ หัวข้อ “จากแม่น้ำโขงสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และละตินอเมริกา: จุดเปรียบเทียบและการเคลื่อนไหวร่วมกันในอนาคต” เป็นการเปิดโอกาสให้ตัวแทนเครือข่ายจากไทย อินโดนีเซีย และบราซิล นำเสนอข้อมูลกรณีปัญหาและการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมของแต่ละภูมิภาค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การนำเสนอสะท้อนถึงสถานการณ์โครงการพัฒนาเขื่อนและพลังงาน ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนคล้ายคลึงกันแม้จะอยู่คนละภูมิภาคของโลก รวมทั้งกลไกการฟอกเขียวของบริษัทผู้ลงทุนและรัฐบาลที่มีความเชื่อมโยงกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของโครงการเป็นหลัก โดยโครงการเขื่อนบนแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาในไทย ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและวิถีชีวิตอย่างรุนแรง โครงการเขื่อนในเกาะกาลีมันตัน ที่เป็นเกาะขนาดใหญ่อันดับ 3 โลก ของอินโดนีเซีย ที่มีทุนไทยไปร่วมลงทุน กระทบต่อแม่น้ำและป่าฝนที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นพื้นที่ของชนเผ่าพื้นเมืองที่อยู่บนเกาะมากว่า 3 พันปี

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ด้านตัวแทนจากบราซิลระบุว่า ในละตินอเมริกามีรูปแบบโครงการพัฒนาเช่นเดียวกับในเอเชีย มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างรุนแรง ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ โครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ถึง 7,000 เมกกะวัตต์ ทำลายระบบนิเวศลุ่มแม่น้ำอเมซอน อีกทั้งในบราซิลมีบทเรียนจากกรณีเขื่อนแตกหลายครั้ง ทำให้มีการจัดตั้งเครือข่ายระดับภูมิภาค คือ ขบวนการประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อน ละตินอเมริกา (MAR) เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหานี้ แต่ปัจจุบันทั่วโลกมีปัญหาคล้ายกันจึงคิดว่าควรมีการจัดตั้งเครือข่ายระดับโลกเพื่อให้เกิดความร่วมมือที่เข้มแข็งมากขึ้น