Search

เขื่อนผลิตไฟฟ้า–เหมืองแรร์เอิร์ทเกลื่อนภูมิภาค-ผลกระทบข้ามแดนรุนแรงขึ้น แฉห่วงโซ่อุปทานพลังงานโลกทิ้งพิษไว้ที่ลุ่มน้ำโขง

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ที่ อ.เมือง จ.นครพนม เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมร่วมกันจัดงาน “สัปดาห์สิ่งแวดล้อมแม่โขง-อาเซียน 2025” (Mekong-ASEAN Environmental Week: MEAW) ภายใต้ธีม “The Fake Green เขียวลวง: ปฏิบัติการฟอกเขียวในภูมิภาคกับพลังประชาชน” ระหว่างวันที่ 27-30 กันยายน โดยมีนักกิจกรรม เยาวชน ชาวบ้าน และนักวิชาการ จากภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าร่วม

ในช่วงเช้ามีการเสวนา “แรร์เอิร์ธ: มลพิษจากเหมืองแร่หายากในภูมิภาคแม่น้ำโขงกับห่วงโซ่อุปทานของโลก” โดย น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ จากองค์กรแม่น้ำนานาชาติ ได้นำเสนอข้อมูลจากการติดตามผลกระทบข้ามพรมแดนกรณีเหมืองแร่แรเอิร์ธ ที่อยู่ในเขตรัฐฉานของเมียนมาใกล้พรมแดนไทย จ.เชียงใหม่และ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นต้นแม่น้ำกกที่ไหลเข้าสู่ไทย

ผู้แทนองค์กรแม่น้ำนานาชาติ กล่าวว่า หลังจากน้ำท่วมใหญ่ในภาคเหนือปี 2567 แม่น้ำกกขุ่นข้นผิดปกติทั้งที่น้ำควรใสตามฤดูกาล ชาวบ้านเรียกร้องให้มีการตรวจสอบหรือแก้ไข จนมีการเปิดเผยข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม พบว่าในรัฐฉานมีการเปิดหน้าดินทำเหมืองทองคำและเหมืองแรร์เอิร์ธ ที่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานในการผลิตรถยนต์และอาวุธ อีกทั้งข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(Gistda) ชี้ว่าเหมืองแร่เหล่านี้ตั้งอยู่เหนือไปตามแม่น้ำกกห่างจากพรมแดนไทย-เมียนมาเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้น

ผู้แทนองค์กรแม่น้ำนานาชาติ กล่าวว่าอีกว่า ขณะนี้เหมืองแร่เหล่านี้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และกำลังกลายเป็นปัญหาผลกระทบลามไปทั้งภูมิภาคแม่น้ำโขง โดยคณะกรรมมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) มีรายงานว่าพบการปนเปื้อนสารหนูที่มีความเข้มข้นลามถึงแผ่นดินลาวแล้ว อีกทั้งข้อมูลของ Stimson Center ระบุว่า จากภาพถ่ายดาวเทียมการปนเปื้อนในแม่น้ำต่าง ๆ มีความสอดคล้องกัน ทั้งลุ่มน้ำโขง ลุ่มน้ำสาละวิน ลุ่มน้ำสาขาในลาวที่ไหลเข้าสู่เวียนนาม และลุ่มน้ำอิรวดี โดยมีเหมืองแร่มากถึง 540 แห่ง ซึ่งกำลังจะกลายเป็นวิกฤติการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและการปนเปื้อนมลพิษที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา

“แม่น้ำโขงในอนาคตหากมีการสร้างเขื่อนปากแบงในลาว ท้ายน้ำห่างจากเชียงราย 97 กิโลเมตร โดยเริ่มสร้างตุลาคม ไทยลงนามซื้อไฟฟ้า 29 ปี น้ำประปาของคนเชียงแสน เชียงของ เวียงแก่น ใช้น้ำโดยตรงจากแม่น้ำโขง จะกลายเป็นอ่างเก็บน้ำของเขื่อนที่กักเก็บสะสมตะกอนสารพิษจากเหมืองแร่ แล้วคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนจะเป็นอย่างไร” ผู้แทนองค์กรแม่น้ำนานาชาติ กล่าว

นายธารา บัวคำศรี นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม อดีตผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า กรณีผลกระทบจากเหมืองแร่แรร์เอิรธ์ที่ชุมชนในเชียงรายและภาคอีสานเจอ เป็นปัญหาข้ามพรมแดน เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนผ่านระบบพลังงานที่กำลังต้องการแร่แรร์เอิรธ์ไปผลิตรถไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ กังหันลม ผลิตอาวุธ และใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยจีนมีมีส่วนแบ่งทางการตลาดส่งออกแร่แรร์เอิรธ์มากถึง 92% โดยเมียนมาส่งแร่ที่ยังไม่แปรรูปไปถึงถึง 31% ส่วนมาเลเซียนำแร่มาจากออสเตรเลียมาแปรรูปก่อนส่งไปจีน ลาวยังไม่มีข้อมูล ส่วนไทยมีการแปรรูปแล้วส่งไปจีน จะเห็นได้ว่าเมียนมามีบทบาทสำคัญมากต่อห่วงโซ่อุปทานแร่แรร์เอิรธ์โลก

นายธารา กล่าวอีกว่า จากการสำรวจพบว่า บริษัทแร่แรเอิรธ์ของจีน 21 แห่ง มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทผู้ใช้แร่แรร์เอิรธ์ในอเมริกามากกว่า 1 แสนบริษัท และในยุโรปอีกนักหมื่นบริษัท ซึ่งในแง่กฎหมายหรือตรวจสอบย้อนกลับจึงเป็นไปไม่ได้เลยว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าในโทรศัพท์ของเราจะมีส่วนประกอบของแร่แรร์เอิรธ์ที่มาจากพื้นที่ใด โดยที่ผ่านมาแม่น้ำในประเทศจีนมีการปนเปื้อนมลพิษจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธอย่างรุนแรง โดยเฉพาะแม่น้ำสายหลักคือ แม่น้ำเหลือง แม่น้ำแยงซีเกียง ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นภาพอนาคตที่กำลังจะเกิดกับแม่น้ำในภูมิภาคของเรา

จากนั้นในช่วงบ่ายมีกิจกรรมเวิร์คช็อป “ประชาชน เขื่อน โขง ค่าไฟ เปลี่ยนผ่านพลังงานไทย 6 ทศวรรษ จากเขื่อนไทย สู่การซื้อไฟเขื่อนลาว” โดย โครงการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมในประเทศไทย (JET in Thailandเริ่มต้นกิจกรรมด้วยการเปิดแผนที่ประวัติศาสตร์การพัฒนาพลังงานไทย เพื่อเป็นการร่วมเรียนรู้ มีการให้ข้อมูลปัจจุบันว่า ไทยมีการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากเขื่อนในไทยเพียง 3% แต่นำเข้าไฟฟ้าจากต่างประเทศถึง 15% โดย 2 ใน 3 มาจากเขื่อนของลาว อีกทั้งมีการตั้งคำถามถึงปริมาณพลังงานไฟฟ้าสำรองของไทยที่มีกำลังผลิตล้นเกิน ความมั่นคงพลังงานที่พึ่งพาเขื่อนในต่างประเทศ และผลกระทบจากการสร้างเขื่อนที่ไม่ถูกคำเป็นมูลค่าเงิน

ธัญญาภรณ์ สุรภักดี ผู้ประสานงาน JET in Thailand ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงสำคัญของการเปลี่ยนผ่านการพัฒนาด้านพลังงานและเขื่อนของไทย คือ ปี 2536 ไทยลงนามในเอ็มโอยูว่าไทยจะซื้อไฟฟ้าจากลาวด้วยสัญญาระยะยาว นับเป็นจุดเริ่มต้นศักราชใหม่ของการซื้อไฟฟ้าจากลาว จนปี 2540 เป็นต้นมา ไทยเดินหน้ารับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนลาวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เห็นความเปลี่ยนผ่านตั้งแต่การรับซื้อไฟฟ้าจากลำน้ำสาขาไปสู่การสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าบนแม่น้ำโขง โดยมีเขื่อนไซยะบุรีเป็นเขื่อนแรกที่ไทยรับซื้อไฟฟ้า โดยล่าสุดที่เซ็นสัญญารับซื้อไฟฟ้าเพิ่มอีก 4 เขื่อน ล้วนเป็นเขื่อนที่สร้างบนแม่น้ำโขง

“เราต้องการใช้ไฟฟ้าแต่ไม่สร้างโรงไฟฟ้าในบ้าน เหมือนปัดความรับผิดชอบโดยไม่รับรู้ว่าเขื่อนจะไปก่อผลกระทบที่อื่น ตั้งแต่ 2541 ปริมาณไฟฟ้าผลิตล้นเกินมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงย้อนแย้งว่าทำไมใช้ข้ออ้างนี้ว่าเพื่อไม่ให้มีผลกระทบในประเทศก็ย้ายไปสร้างในประเทศอื่นโดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะได้รับผลกระทบ และจริงหรือไม่ว่าไทยไม่ได้ผลกระทบเลย ซึ่งมีหลักฐานเชิงประจักษ์แล้วว่ามีผลกระทบข้ามพรมแดน” ผู้ประสานงาน JET in Thailand กล่าว

ผู้ประสานงาน JET in Thailand กล่าวอีกว่า ตอนนี้ต้องจับตากรณีเขื่อนปากแบงในเรื่องการกู้เงินว่าธนาคารไทยจะให้กู้เงินเพื่อดำเนินโครงการหรือไม่ เพราะเงื่อนไขการพิจารณาการให้กู้นั้นต้องเป็นการลงทุนในโครงการที่มีความยั่งยืนตามหลักการ นอกจากนี้ต้องจับตาแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ของไทยว่าจะมีโครงการเขื่อนเข้าไปในแผน PDP ใหม่หรือไม่ รวมทั้งจับตาว่าจะมีการขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าในสัญญาจากเขื่อนในลาวเพิ่มอีกหรือไม่

———