ตามที่มีรายงานข่าวระบุว่ากระทรวงพลังงานได้ ดำเนินการสรุปโครงงานเร่งด่วนซึ่งต้องดำเนินการภายใน 1-6 เดือนข้างหน้า เพื่อเสนอให้พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ พิจารณา อนุมัตินั้น โครงการเร่งด่วนดังกล่าวรวมถึงการขออนุมัติแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่
แผนพัฒนากำลังผลิต ไฟฟ้า หรือที่เรียกกันว่า แผนพีดีพี เป็นแผนกำหนดการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าชนิดต่างๆ (นิวเคลียร์ เขื่อน ถ่านหิน แก๊ส หรือพลังงานหมุนเวียน) เพื่อเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นใน อนาคตเป็นระยะเวลา15 -20ปี ในปัจจุบันประเทศไทย กำลังอยู่ภายใต้แผนพีดีพี ฉบับที่10 (ทบทวนครั้งที่3) ซึ่งกำหนดรายละเอียดของแผนการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าชนิดต่างๆ รวมกันกว่า 5 หมื่น เม็กกะวัตต์ (ปัจจุบันกำลังผลิตของประเทศรวม 3.3 หมื่น เม็กกะวัตต์)ในช่วง พศ.2553 – 2573 คิดเป็นมูลค่าการลงทุนของทั้งแผน กว่า 2 ล้านล้านบาท
การปรับปรุงและออก แผนพีดีพีฉบับใหม่ มักจะมีข้ออ้างว่า เพื่อให้แผนการลงทุนสอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สูงกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ในแผนเดิม ดังนั้นแผนฉบับใหม่นอกจากจะเป็นโอกาสให้มีการปรับเปลี่ยน ชนิด-ขนาด-ทำเล ของโรงไฟฟ้าแล้ว ก็มักจะมีการเพิ่มโครงการใหม่ๆ และ/หรือ ผู้ลงทุน ตามไปด้วย
ดังนั้นเพื่อ ป้องกันการลงทุนผิดพลาดเกินจริง การแสวงหาประโยน์โดยมิชอบ และผลกระทบที่จะเกิดขี้นต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน กฎหมายกำกับกิจการพลังงาน จึงได้กำหนดให้กระบวนการทำแผนพีดีพี และการอนุมัติ จะต้องมีความความโปร่งใส โดยเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ การประเมินผลกระทบ และได้รับความเห็นของคณะกรรมการอิสระกำกับกิจการพลังงาน ประกอบการพิจารณาอนุมัติของกรรมการพลังงานแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
ภาคประชาสังคมหลาย องค์กรที่ทำงานติดตามประเด็นพลังงานมาตลอด มีความเห็นว่า การรีบเร่งเสนอเรื่องแผนพีดีพีให้พิจารณาอนุมัติในช่วงเวลานี้ เป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
แผนพีดีพี เป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศ มีกระบวนการที่ใช้เวลานานใน เนื่องจากมีผลผูกพันระยะยาว เกี่ยวข้องกับงบประมาณมหาศาล บรรจุโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงต่างๆ จำนวนมาก ทั้งในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ และในระดับสากลมีการทำการศึกษาผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Impact Assessment-SEA) สำหรับแผนทั้งหมด ไม่ใช่ศึกษาผลกระทบเพียงรายโครงการ
ที่ผ่านมา การคาดการณ์ความต้องการพลังงานของประเทศ และการลงทุนนั้นเกินจริงมาตลอด ทำให้การการสูญเสียทางเศรษฐกิจ และทำให้ค่าไฟสูงเกินความจำเป็น และไม่นำไปสู่การสร้างประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
ที่สำคัญ กระบวนการพิจารณาและอนุมัติแผนพีดีพี ต้องได้รับความเห็นจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน จึงจะเสนอเข้าสู่คณะรัฐมนตรีได้
การที่ปลัดกระทรวงพลังงานเร่งเสนอร่างแผนฯ ดังกล่าวให้คสช. พิจาณาอนุมัติ จึงถือเป็นการละเลยไม่ปฏิบัติกฎหมายกำกับกิจการการพลังงาน อีกทั้งไม่ได้เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนเข้ามีส่วน ร่วม ปิดกั้นกระบวนการมีส่วนร่วมของสาธารณะ
องค์กรภาคประชาสังคมซึ่งลงนามท้ายแถลงการณ์นี้ ขอเรียกร้องให้กระทรวงพลังงานปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วน ต้องจัดให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างทั่วถึง
——————-
เครือข่ายพลังงานเพื่อสิ่ง แวดล้อมในลุ่มน้ำโขง
มูลนิธินโยบายสุขภาวะ
กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โครงการฟื้นฟูนิเวศในภูมิภาคแม่น้ำโขง