ภาสกร จำลองราช
ในวันที่เรากล่าวโทษกองกำลังกะเหรี่ยง BGF (Karen Border Guard Force และ DKBA(Democratic Karen Benevolent Army) ว่าเป็นตัวการใหญ่ในการดูแลคุ้มครองอาณาจักรอาชญากรรมให้เหล่าแก๊งสแกมเมอร์และมาเฟียจีน ที่ทำให้ประชาชนทั่วโลกนับหมื่นคนถูกหลอกลวงมากักขังและบีบบังคับให้ทำงานต้มตุ๋นออนไลน์อยู่ในพื้นที่ริมแม่น้ำเมย ฝั่งเมืองเมียวดี ประเทศพม่า ตรงข้ามกับ อ.แม่สอดและพบพระ จ.ตาก เรากลับไม่ได้ยึดหลัก “พิจารณาตัวเอง” บ้างเลย
ทางการไทยปล่อยให้ขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวงใช้แผ่นดินไทยเป็นระเบียบอาชญากรรมมานานหลายปี แต่หลังที่ดาราจีน “ชิงชิง”เป็นข่าวฉาวไปทั่วโลก รัฐบาลไทยถึงตั้งท่าจริงจังและใช้มาตรการ 3 ตัดคือตัดไฟฟ้า ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตและตัดการส่งออกน้ำมัน พร้อมๆ กับข่าวว่าเตรียมออกหมายจับ “ชิตตู” ผู้นำ BGF ซึ่งท้ายที่สุดก็เป็นเพียงแค่พิธีกรรมที่ใช้ตอบคำถามสาธารณชน
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ผ่านไปแล้ว 7 เดือน เสียงชื่นชมในมาตรการ 3 ตัดได้ถูกลดความหวือหวา ขณะเดียวกันเสียงเรียกร้องให้ทบทวนเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
ขณะนี้มาตรการ 3 ตัดแทบไร้ประสิทธิภาพในการลดทอนการทำงานของแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย ขณะที่กลุ่มมาเฟียจีนและอาชญากรต่างนำพาเหยื่อที่ถูกต้มตุ๋นจากทั่วโลกกลับมาอยู่ในแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยกันอย่างคึกคักเหมือนเดิม ส่วนมาตรการ 3 ตัดได้กลายเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้มหาศาลให้กับคนกลุ่มหนึ่งที่หากินกับการขนน้ำมันเถื่อนจากฝั่งไทยข้ามผ่านไปขายให้ DKBA ก่อนที่ DKBA จะนำไปขายกระจายไปสู่เขตกองกำลังทหารต่างๆในราคาที่สูงลิ่ว
แน่นอนว่าผู้ที่ได้ประโยชน์ฝั่งไทยมีทั้งเฮียนั่นและโกนี่ ซึ่งมีช่องทางติดสินบนอยู่กับเจ้าหน้าที่รัฐไทยด้วยความคุ้นเคย
เพราะฉะนั้นการชี้หน้าประนามประเทศรอบบ้านว่าเป็นแหล่งอาชญากรรม หรือสะใจกับการข่าวเกาหลีใต้กำลังขยี้กัมพูชากรณีที่มีคนเกาหลีถูกหลอกมาทำงานและเสียชีวิตในแหล่งอาชญากรรม โปรดฉุกใจคิดสักนิดว่าประเทศไทยก็อยู่ในสมการอาชญากรรมนั้นด้วย
เคยตั้งคำถามมั้ย ทำไมการจับกุมคนจีนหรือต่างชาติอื่นๆในแหล่งอาชญากรรม จึงไม่ค่อยมีคนไทย ไม่ว่าจะเป็นเหยื่อหรือผู้กระทำผิด แม้กระทั่งล่าสุดที่มีข่าวว่าคนไทย 16 คนร้องขอความช่วยเหลือจากแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยภายใต้การดูแลของ BGF แต่ข้อเท็จจริงแล้ว คนไทยกลุ่มนี้ 15 คนไม่ได้เคยขอความช่วยเหลือ เพียงแต่มี 1 คนที่ไม่พอใจสภาพงานและเมื่อร้องขอเปลี่ยนแปลงแล้วไม่ได้จึงร้องกลับบ้าน แต่รายชื่อที่ส่งไป BGF เป็นแบบพวง เลยถูกส่งตัวกลับยกพวง คนกลุ่มนี้จึงต้องมาด่ากันเองบนโรงพักที่แม่สอด
จริงๆแล้วทีเยาวชนไทยจำนวนไม่น้อยที่หากินอยู่กับธุรกิจผิดกฎหมายในแหล่งอาชญากรรมเหล่านี้ด้วย เพราะเป็นรูปแบบการเงินแบบ “รวยเร็ว”โดยไม่สนใจวิธีการ
คนหนุ่มสาวไทยจำนวนมากเข้าไปทำมาหากินอยู่ในแหล่งอาชญากรรมในเพื่อนบ้านตั้งแต่เล้าก์ก่าย ในเขตโกกั้ง รัฐฉานเหนือประเทศพม่า ในคิงส์โรมันส์ชายแดนลาว ในแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยชายแดนพม่า จนถึงแหล่งอาชญากรรมในกัมพูชา ขบวนการนำพาเหล่านี้ไม่ได้ถูกปราบปรามจับกุมอย่างจริงจัง
นั่นย่อมมีที่มาที่ไปและนัยสำคัญ
ขณะที่ชาวต่างชาติจำนวนมากตกเป็นเหยื่อเพราะถูกหลอกว่ามาทำงานในประเทศไทย แต่สุดท้ายถูกพาข้ามฟากไปยังเพื่อนบ้าน แผ่นดินไทยกลายเป็นระเบียงอาชญากรรมในการนำพาและส่งคนข้ามไปสู่แหล่งอาชญากรรม
จริงๆแล้วหน่วยงานรัฐต่างก็รู้ดี เนื่องจากเหยื่อจำนวนมากมายต่างให้ปากคำว่าในกลไกส่งต่อระดับชาติ หรือ ( NRM ( National Referral Mechanism)ซึ่งเป็น 1 ในกระบวนการคุ้มครองผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ โดยเหยื่อจำนวนมากได้เล่าตั้งแต่ลงสนามบินดอนสุวรรณภูมิมีใครไปรับบ้าง เดินทางอย่างไร ผ่านด่านต่างๆได้อย่างไร พักรอที่ไหน และสุดท้ายถูกพาข้ามแดนอย่างไร ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำไปขยายผลอย่างจริงจัง ทำให้ขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันยังคงหากินได้เป็นปกติ
เคยมีนายตำรวจชาวมาเลย์รายหนึ่งถูกขบวนการต้มตุ๋นหลอกมาจนถึงชายแดน อ.พบพระ แต่ก่อนจะข้ามแม่น้ำเมยเขาเฉลียวใจ และหนีการถูกบังคับนำพาตัวข้ามฟากออกมาได้ เขารู้สึกเจ็บใจมากและพร้อมที่จะเปิดโปง แต่สุดท้ายก็ไม่มีหน่วยงานใดของทางการไทยสนใจ ดังนั้นเขาจึงกลับประเทศด้วยความฉงนใจในการทำงานของตำรวจไทย
เช่นเดียวกับเหยื่อชาวต่างชาติอีกหลายคนที่ยอมเข้าสู่กระบวนการ NRM แทนที่จะยอมเสียค่าปรับเล็กน้อยแล้วบินกลับประเทศไปในทันทีที่ได้รับความช่วยเหลือเพื่อความไม่ยุ่งยาก แต่พวกเขาเลือกเข้าสู่ NRM เพราะต้องการให้ขบวนการค้ามนุษย์เหล่านี้ถูกกระชากหน้ากากและถูกลงโทษ แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องผิดหวังและสยบยอมกับระบบแบบไทยๆ และเดินทางกลับประเทศแบบไร้ซึ่งความหวังที่จะนำคนผิดมาลงโทษ
วันนี้มาเฟียจีนยังคงข้ามฟากไปมาระหว่างเมียวดีกับแม่สอดได้ตามอำเภอใจ แม้จะมีการเพ็งเล็งไปยังท่าข้ามฟากมากขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรหยุดยั้ง “สินบน”และ “ส่วย”ได้
เหล่ามาเฟียจีนต่างขนเหยื่อข้ามฟากจากกัมพูชาที่กำลังมีสถานการณ์ยุ่งเหยิง ผ่านประเทศไทยข้ามแม่น้ำเมย สู่แหล่งอาชญากรรมเมียวดีได้อย่างสะดวกโยธินดั่งเดิม
โรงแรมและห้องพักจำพวกหนึ่งยังคงมีรายได้กับชื่อปลอมของนักท่องเที่ยวปลอมที่ต้องแจ้งทางการ โรงเรียนสอนภาษาจีนและอังกฤษของนักการเมืองรายหนึ่ง ยังคงมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการออกวีซ่าเทียมด้านการศึกษาให้กับคนจีนเพื่อมีชื่ออยู่ในไทยนานๆ ขณะที่ท่าข้ามหลายแห่งยังสร้างกำแพงสูงรายล้อมเพื่อปกปิดการดำเนินธุรกิจผิดกฏหมายอย่างต่อเนื่อง
ในวันนี้ที่เรากำลังด่าประเทศเพื่อนบ้านว่าทำธุรกิจผิดกฎหมายและเป็นแหล่งอาชญากรรมจนทะมึนดำน่ากลัว หากยึดหลัก “พิจารณาตนเอง” ก็จะเห็นตัวเราเองก็มีสีเทาแต้มอยู่ไม่น้อย และเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างความหวาดกลัวไปทั่วโลก โดยเฉพาะ “ส่วย”จากแหล่งอาชญากรรมที่ถูกส่งต่อกันเป็นทอดๆจนเข้ามาถึงโครงสร้างอำนาจในบ้านเมืองไทย
หากรัฐบาลไทยยังไม่จริงจังกับการทลายวงจรอาชญากรรมกลุ่มนี้ และสังคมยังไม่ร่วมกันลุกฮือขับไล่และกดดันรัฐบาลให้ลงมือจัดการ ในวันหนึ่งเราจะถูกกล่าวหาว่าเป็นจำเลยร่วมในการต้มตุ๋นหลอกลวงคนทั่วโลกมากักขังในแหล่งอาชญากรรมรอบบ้าน และสถานการณ์การกล่าวหาอาจไปไกลกว่าที่คิด
———–