
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission-MRC) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ครั้งที่ 2/2568 โดยมี นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
นายภราดร เปิดเผยว่า ในปี 2568 ประเทศไทยในฐานะประธานคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะมนตรี MRC ครั้งที่ 32 และการประชุมระหว่างคณะมนตรี MRC กับหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 30 ระหว่างวันที่ 25 – 27 พฤศจิกายน 2568 ณ จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำลุ่มน้ำโขง ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบกรอบการหารือสำหรับการประชุมดังกล่าว
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.ร่างปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) ซึ่งจะเป็นผลลัพธ์สำคัญของการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 5 และ 2. แผนกลยุทธ์ MRC ค.ศ. 2026 – 2030 โดยที่ประชุมมอบหมายให้ สทนช. เสนอร่างปฏิญญากรุงเทพต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา รวมถึงเสนอขออนุมัติองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยที่จะเข้าร่วมการประชุมต่อนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบการดำเนินงานแลกเปลี่ยนข้อมูลการบริหารจัดการเขื่อนในลุ่มแม่น้ำโขง ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ของ MRC ซึ่งมุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือข้ามพรมแดนด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ เนื่องจากลุ่มน้ำโขงมีการพัฒนาโครงการการบริหารจัดการเขื่อน และต้องรับมือกับการเปลี่ยนของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้น การแบ่งปันข้อมูลจึงช่วยเพิ่มความแม่นยำและรวดเร็วในการพยากรณ์น้ำท่วมและภัยแล้ง ส่งเสริมให้การบริหารจัดการการไหลของน้ำเป็นไปอย่างสอดคล้อง ช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำอย่างฉับพลันและผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเหตุฉุกเฉินและการสื่อสารในสถานการณ์วิกฤต โดยสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) ได้รวบรวมข้อเสนอแนะและบทเรียนจากการดำเนินงานในระยะที่ 1 ที่ได้ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2565 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานระยะที่ 2 ซึ่งจะสนับสนุนให้การบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ ช่วยบรรเทาปัญหาด้านน้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวลุ่มน้ำโขง
ด้าน นายดนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมยังได้รับทราบรายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ซึ่ง MRCS ได้ติดตามและพยากรณ์ระดับน้ำในสถานีหลักของแม่น้ำโขงตั้งแต่ช่วงปลายฤดูฝนปี 2568 ไปจนถึงต้นฤดูแล้งปี 2569 เพื่อให้ประเทศสมาชิกใช้เป็นข้อมูลสำหรับประกอบการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงได้รับทราบความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำจากการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขงในเขตประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมา สทนช. ได้ประสานไปยัง MRCS เพื่อให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับประเทศเมียนมา รวมถึงได้จัดประชุมระดับภูมิภาค เรื่อง
“การพัฒนาข้อเสนอการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำร่วมกัน (Joint Water Quality Monitoring: JWQM)โดยมีผู้แทนจากเมียนมาและประเทศสมาชิก MRC เข้าร่วม ปัจจุบันเมียนมาอยู่ในระหว่างการพิจารณาบันทึกแนวคิดในการดำเนินการตรวจสอบและประเมินคุณภาพน้ำร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน พร้อมทั้งรับทราบการจัดตั้งกองทุนแม่น้ำโขง (Mekong Fund) เพื่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศลุ่มน้ำโขง ซึ่งขณะนี้มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก และคาดว่าจะพร้อมดำเนินการได้ในปี 2569”นายดนุชา
นส.เพียรพร ดีเทศน์ กรรมการบริหารมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ (Rivers and Rights) กล่าวว่าในการประชุมที่เชียงรายครั้งนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาชะลอการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนปากแบง เนื่องจากปัญหาต่อเนื่องจากคุณภาพน้ำแม่น้ำโขงบริเวณพรมแดนไทยลาวและในลาวมีการปนเปื้อนสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานซึ่งเกิดจากเหมืองแร่นอกกฎหมายในเขตรัฐฉาน หากเดินหน้าก่อสร้างตามกำหนดในเดือนตุลาคมนี้ แม่น้ำโขงบริเวณ อ.เวียงแก่ง เชียงของ และเชียงแสน จะกลายเป็นอ่างเก็บน้ำพิษและจำเป็นต้องหารือกับเมียนมาอย่างจริงจังเรื่องผลกระทบจากเหมืองแร่ ซึ่งพบว่าต้นน้ำสายมีเหมืองแร่ทองคำและแรร์เอิร์ทอย่างน้อย 14 แห่ง และต้นน้ำกกอีก 7 แห่งซึ่งจนบัดนี้ยังไม่มีการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของ point source pollution อย่างจริงจัง



