Search

องค์กรด้านคลังสมองสหรัฐชี้ชัด “MoU แรร์เอิร์ธ” สร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ด้านแร่สำคัญใหม่-ลดอิทธิพลผูกขาดของจีน แต่ตั้งคำถามว่าเป็นเลือกที่มีความรับผิดชอบได้หรือไม่

เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์กรด้านคลังสมองของอเมริกา Stimson Center (ศูนย์สติมสัน)
ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์โดยทีมงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรื่องพันธสัญญาใหม่ด้านแร่ธาตุสำคัญของทรัมป์: โอกาสและความกังวล เนื้อหามีใจความสำคัญเกี่ยวกับการขยายความร่วมมือของสหรัฐฯ ในด้านแร่ธาตุสำคัญกับอาเซียนและภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก: โอกาสเชิงยุทธศาสตร์ที่มาพร้อมกับความท้าทาย

บทวิเคราะห์ระบุว่าสหรัฐอเมริกากำลังสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ใหม่ด้านแร่ธาตุสำคัญ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่ธาตุสำคัญรายใหญ่ที่สุดของโลก หากมีความพยายามและการลงทุนอย่างจริงจัง กลุ่มพันธมิตรภายใต้การนำของสหรัฐฯ นี้อาจสามารถลดอิทธิพลเกือบผูกขาดของจีนต่อแร่ธาตุที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีแห่งอนาคตได้ แต่คำถามคือ สหรัฐฯ จะสามารถนำเสนอทางเลือกที่ “มีความรับผิดชอบ” ได้หรือไม่ และภูมิภาคอาเซียนกับอินโด–แปซิฟิกจะเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมกับแนวทางใหม่นี้เพียงใด

รายงานชิ้นนี้ระบุว่า สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านแร่ธาตุสำคัญกับประเทศไทย มาเลเซีย และกัมพูชา ระหว่างที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางเยือนกรุงกัวลาลัมเปอร์เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ข้อตกลงเหล่านี้ รวมถึงพันธกรณีที่คล้ายกันกับพันธมิตรด้านความมั่นคงอย่างญี่ปุ่นและออสเตรเลีย สะท้อนถึงความสำคัญที่ทรัมป์ให้ต่อการสร้างห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญที่หลากหลายและยืดหยุ่นสำหรับสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองพรรคการเมืองว่า “แร่ธาตุสำคัญ” คือรากฐานของเทคโนโลยีและความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศ

บทความของศูนย์สติมสันระบุด้วยว่า ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียหลายประเทศต่างเห็นพ้องในเรื่องนี้ และได้ประกาศยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมแร่ธาตุสำคัญ ขณะที่สำนักเลขาธิการอาเซียนเองก็เพิ่งประกาศเจตนารมณ์ในการเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาแร่ธาตุอย่างยั่งยืนและร่วมมือกันในภูมิภาค การสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์เพื่อลดการพึ่งพาจีนจะต้องอาศัยการลงทุนและความมุ่งมั่นระยะยาว โดยก้าวแรกควรมุ่งเน้นการส่งเสริมมาตรฐานที่รับผิดชอบ โปร่งใส และลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น

“จีนเป็นประเทศที่ครองอุตสาหกรรมการแปรรูปแร่ธาตุสำคัญถึง 19 ใน 20 ชนิดที่องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) วิเคราะห์ไว้ แม้รวมผลผลิตของ 10 ประเทศผู้ผลิตรายใหญ่อันดับถัดมาก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับจีนในปี 2024 สำหรับ แร่หายาก ซึ่งเป็นกลุ่มแร่ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในหมู่แร่ธาตุสำคัญ ออสเตรเลียและไทยอยู่ในอันดับ 4 ร่วมกัน ส่วนมาเลเซียอยู่ในอันดับที่ 10 การสร้างพันธมิตรระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศเหล่านี้จึงมีเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ เพราะจะช่วยกระจายแหล่งผลิตและลดความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน”

อย่างไรก็ตาม การขยายการสกัดและผลิตแร่ธาตุสำคัญมักมาพร้อมกับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยเฉพาะแร่หายาก จีนเองสร้างอำนาจทางอุตสาหกรรมนี้ขึ้นมาบนพื้นฐานของเหมืองที่ขาดการควบคุม ตั้งแต่ทศวรรษ 1990 มณฑลเจียงซีของจีนเกิดการขุดเหมืองแร่หายากขนาดเล็กจำนวนมากโดยผิดกฎหมาย ทำให้สารเคมีจากกระบวนการผลิตไหลลงสู่แม่น้ำและแหล่งน้ำใต้ดิน ก่อให้เกิดการปนเปื้อนร้ายแรงที่ต้องใช้เงินมหาศาลในการฟื้นฟู

ต่อมาในปี 2004 จีนเริ่มควบคุมและรวมศูนย์อุตสาหกรรมแร่หายาก โดยกวาดล้างเหมืองผิดกฎหมาย ออกกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น และรวมกิจการเข้าสู่รัฐวิสาหกิจ 6 แห่ง แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การทำเหมืองแร่หายากของจีนกลับเคลื่อนย้ายไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาและลาว ซึ่งขณะนี้มีเหมืองมากกว่า 500 แห่งที่สร้างความเสียหายต่อชุมชนและแม่น้ำทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลกระทบเหล่านี้ไม่เพียงจำกัดอยู่ในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับความมั่นคงทางอาหารของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงที่ผลิตข้าวและปลาเพื่อป้อนตลาดโลก

บทวิเคราะห์ของ Stimson Center ระบุด้วยว่า ในขณะที่สหรัฐฯ และพันธมิตรในอาเซียนมุ่งขยายการผลิตแร่ธาตุสำคัญ การป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ปฏิญญาอาเซียนได้วางรากฐานสำหรับความร่วมมือระดับภูมิภาคในอนาคตเพื่อเสริมสร้างการผลิตและการค้าของแร่หายากอย่างยั่งยืน การแบ่งปันองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดี รวมถึงการส่งเสริมการวิจัยร่วมกัน สหรัฐฯ มีโอกาสที่จะสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่แตกต่างจากจีน โดยยกระดับมาตรฐานการทำเหมืองให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น ลดความเสี่ยงด้านแรงงาน สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ การกำกับดูแลที่โปร่งใส และการส่งเสริมเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น “การสกัดด้วยจุลินทรีย์” (bioleaching) หรือการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์เพื่อนำแร่กลับมาใช้ใหม่

แม้ว่าแนวนโยบายสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลและภาคเอกชนในประเทศต่าง ๆ แต่สหรัฐฯ ควรยึดมั่นในหลักการที่ได้ให้ไว้ในข้อตกลง เช่น MOU กับประเทศไทย ที่ระบุว่าจะ “สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ตลาดแร่ธาตุสำคัญและแร่หายากที่เปิดกว้าง มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และโปร่งใส” เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคง ยั่งยืน และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

On Key

Related Posts

เตรียมเปิดปฎิบัติการใหญ่ “ชเวก๊กโก่” กองกำลังกะเหรี่ยง BGF ขึงขังประกาศแตกหักสแกมเมอร์ ชี้ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลพม่า-สหรัฐกดดัน ขอความร่วมมือรัฐบาลไทย – ประเทศต้นทาง เตรียมความพร้อมรับคนกลับ