“พวกเราที่นี่ บางคนเป็นกะเหรี่ยง บางคนเป็นทวาย บางคนก็เป็นพม่า เราไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือเราได้รับผล กระทบจากโครงการต่างๆ ที่เข้ามาในทวาย และหากเรารวมตัวกัน เราจะมีพลังและทำให้ชีวิตดีขึ้นได้”
ตาน ซิน ผู้ประสานงานสมาคมพัฒนาทวาย (Dawei Development Association-DDA) กล่าวระหว่างให้ข้อมูลผลกระทบ ที่ชาวบ้านในทวายได้รับจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่ทะลักเข้ามาในพื้นที่ หลังรัฐบาลพม่ามีนโยบายเปิดประเทศ และเจรจาหยุดยิงกับกองกำลังกะเหรี่ยงเคเอ็นยู ในเขตตะนาวศรี สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์
จากประโยคข้างต้น ได้รับการยืนยันจากบรรยากาศอันคึกคักในพิธี “บวชวังปลา” เพื่อเปิดเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลา ริมแม่น้ำคะมอตเวย์ ในชุมชนทันทาบันวี เมืองทวาย พม่า
ที่ชาวบ้าน ต่างศาสนาและชาติพันธุ์หลายร้อยคนกว่า 20 หมู่บ้าน ที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองถ่านหิน และการก่อสร้างทางหลวงพิเศษเชื่อมจากจุดผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อน อ.เมือง จ.กาญจนบุรี มายังเมืองทวาย ความยาว 132 ก.ม. ตามแผนงานในโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย มารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง
หลังพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม ชาวบ้าน ผู้นำท้องถิ่น และภาคประชาสังคมต่างๆ ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ ยืนยันว่าจะปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และขอใช้สิทธิ์ของตนเองในการจัดสรรทรัพยากรท้องถิ่นตามวิถีทางที่ยั่งยืน
โดยประกาศข้อตกลงของเขตบวชวังปลา ตั้งแต่ห้ามทำอันตราย หรือจับสัตว์น้ำทุกประเภทในเขตบวชวังปลา ห้ามปล่อยน้ำที่ปนเปื้อนสารเคมี ห้ามล่าสัตว์น้ำในพื้นที่ใกล้เคียงเขตบวชวังปลา ด้วยวิธีการไม่เหมาะสม อาทิ วางยาพิษ ระเบิด ชอร์ตไฟฟ้า
ผู้ที่ฝ่าฝืนข้อตกลงครั้งแรก จะถูกส่งไปอบรมกับผู้อาวุโสของ คณะกรรมการวิถีชีวิตชุมชนยั่งยืนและพัฒนา (Community Sustainable Livelihood and Development-CSLD) ซึ่งเป็นกลุ่มของชาวบ้านที่รวมตัวกันขึ้นมา ภายหลังได้รับผลกระทบจากโครงการต่างๆ
หากยังฝ่าฝืนข้อตกลงเป็นครั้งที่ 2 และ 3 จะต้องไปทำงานให้บริการสังคม และถูกส่งตัวให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลพม่า หรือเคเอ็นยู ดำเนินการตามกฎหมาย
ทง เอ ชาวบ้านวัย 63 ปี จากหมู่บ้านยอมหยู่ ที่มาร่วมบวชวังปลา เล่าว่าหมู่บ้านได้รับผลกระทบจากการเข้ามาทำเหมืองถ่านหินของกลุ่มทุนจากต่างประเทศ ชาวบ้านต้องสูญเสียที่ดิน และพื้นที่ทำกิน รวมถึงผลิตผลทาง การเกษตรที่เสียหายจากน้ำปนเปื้อนสารเคมี ที่เหมืองถ่านหินปล่อยออกมาตามลำน้ำ โดยที่รัฐบาลพม่าและเคเอ็นยูไม่เคยใส่ใจปัญหา ที่เกิดขึ้น
เช่นเดียวกับ โช เลย หญิงวัย 46 ปี จากหมู่บ้านฉ่วยเชา ร่วมสะท้อนข้อมูลว่าน้ำที่ถูกปล่อยจากเหมืองที่อยู่ตอนบนของลำน้ำไหลท่วมที่ดินชาวบ้าน และสารปนเปื้อนมากับน้ำก็ทำให้ปลาตาย อยากให้บริษัทของไทยที่เข้ามาทำเหมือง หรือรัฐบาลพม่ารับผิดชอบด้วยการจ่ายค่าเสียหายให้ชาวบ้านกว่า 30 ครัวเรือนที่ต้องสูญเสียที่ดิน
ไม่เพียงผลกระทบจากเหมืองถ่านหินเท่านั้น การตัดถนนจากจุดผ่านแดนบ้านพุน้ำร้อนไปยังทวาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายและนิคมอุตสาหกรรม ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หลายร้อยครอบครัวต้องสูญเสียที่ดินทำกิน
ตาน ซิน ให้ข้อมูลว่านอกจากปัญหาการเข้ามากว้านซื้อที่ดิน ในทวาย เพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน ยางพารา หรือเก็งราคาขายต่อของ กลุ่มทุนพม่าและต่างชาติแล้วนั้น ชาวบ้านยังต้องเผชิญความ สับสนจากการอยู่ภายใต้การปกครองของ 2 รัฐบาล คือ รัฐบาล พม่า และเคเอ็นยู
เพราะนอกจากกฎหมายของรัฐบาลกลางที่ต้องปฏิบัติตามแล้ว กะเหรี่ยงเคเอ็นยูเองก็ออกกฎหมายบังคับใช้ในพื้นที่ของตัวเอง
“ชาวบ้านที่อยู่ในเขตปกครองทั้ง 2 ส่วน ก็มีปัญหาว่าจะใช้กฎหมายไหน ชาวบ้านส่วนใหญ่อยากจะใช้กฎหมายของเคเอ็นยูมากกว่า แต่ปัญหาคืออาจจะได้รับเอกสารสิทธิที่ดินจากเคเอ็นยู แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลพม่าอยู่ดี” ตาน ซิน เล่า
ขณะที่ ซู ซู จากสหพันธ์สตรีทวาย ร่วมสะท้อนอีกปัญหาในการเคลื่อนไหวของชาวบ้านว่า แม้ระยะหลังรัฐบาลพม่าจะเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น แต่การแสดงออกเพื่อคัดค้านในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ยังมีข้อจำกัดอยู่
หากชาวบ้านต้องการเดินขบวนประท้วง หรือชุมนุม จะต้องขออนุญาตจากสถานีตำรวจ ซึ่งมีข้อเข้มงวดหลายอย่าง และรัฐบาลก็จะอนุญาตเฉพาะสิ่งที่เขาต้องการเท่านั้น
ความเดือดร้อนและผลกระทบของชาวบ้าน จากการเข้ามาของทุนและโครงการขนาดใหญ่ โดยไม่สอบถามความคิดเห็นของคนในพื้นที่ ทำให้ทุกวันนี้ชาวบ้านและภาคประชาสังคมในทวาย จำเป็นต้องออกมาคัดค้าน
รายงาน “จากมาบตาพุดสู่ทวาย การพัฒนาหรือทำลายข้ามพรมแดน” ที่จัดทำโดยโครงการฟื้นฟูนิเวศในภูมิภาคแม่น้ำโขง มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ ระบุว่าหากโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายและนิคมอุตสาหกรรมแล้วเสร็จ พื้นที่กว่า 150,000 ไร่ของทวาย หรือราว 8 เท่าของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จะต้องรองรับโรงงานเหล็กต้นน้ำ โรงงานผลิตปุ๋ยเคมี โรงไฟฟ้าถ่านหิน ขนาด 4,000 เมกะวัตต์ ท่าเรือน้ำลึก 2 แห่ง ถังเก็บน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โรงแยกก๊าซ โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานไฟฟ้าพลังความร้อน ไปจนถึงศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน ที่จะเกิดขึ้นในเมืองใหม่
ขณะที่ข้อมูลของสมาคมพัฒนาทวาย (Dawei Development Association) ชี้ว่าโครงการจะส่งผลกระทบต่อประชาชน 83,000 ชีวิตในทวาย จาก 3 พื้นที่ ประกอบด้วยประชากร 32,274 คน จาก 3,977 ครัวเรือน ใน 21 หมู่บ้าน ที่อยู่ในพื้นที่ก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก และนิคมอุตสาหกรรมทวาย เขตนาบูเล
ประชากรราว 1,000 คน จาก 182 ครัวเรือน ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านกาโลนท่า ที่มีแผนสร้างเขื่อนแม่น้ำตาลายยาร์ และประชากรอีกกว่า 50,000 คน ที่อาศัยในพื้นที่ก่อสร้างถนน 132 ก.ม. เชื่อมทวายกับชายแดนไทย ที่จะต้องถูกอพยพ
“เมื่อพูดถึงการพัฒนา เรามักพูดถึงการพัฒนาอุตสาหกรรม หรือโรงงาน แต่ฉันคิดว่ารัฐบาลควรมองไปที่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หรือการพัฒนาที่เน้นชุมชนและชาวบ้าน โดยเริ่มต้นจาก สิ่งเล็กๆ และสิ่งที่ชาวบ้านต้องการจริงๆ เพราะในท้องถิ่นก็มีทรัพยากรอยู่แล้ว หรือหากจะพัฒนาอุตสาหกรรม ก็ควรเป็นโครงการขนาดเล็กที่สอดรับกับทรัพยากรในท้องถิ่น อย่างในทวาย ก็สามารถสร้างโรงงานอาหารทะเลแปรรูปได้ เพราะแรงงานที่เคยเคลื่อนย้ายไปทำงานในไทยก็มีทักษะ” ซู ซู เฉว่ สมาชิกอีกคนจากสหพันธ์สตรีทวาย สะท้อนมุมมองของตนเองต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
สิ่งเหล่านี้จะเป็นบททดสอบชาวทวาย จะรับมือกับทุนและโครงการขนาดใหญ่ได้แค่ไหน
ปัณณพร นิลเขียว
ข่าวสดรายวัน 15 มีนาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 23 ฉบับที่ 8508