เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2557 ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ ได้มีการจัดเวทีสรุปข้อมูลสำหรับสื่อมวลชลเรื่อง “เขื่อนไซยะบุรี-แม่น้ำโขง ประเด็นการลงุทนในภูมิภาค โดยชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อมสมาคมนักข่าวฯร่วมกับเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง และองค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers)
ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนวณิชย์ เลขาธิการมูลนิธิโลกสีเขียว กล่าวว่า ที่ผ่านมาแม่น้ำโขงมีความสำคัญอย่างมากโดยเฉพาะความหลากหลายของพันธุ์ปลา แม่น้ำโขงมีความหลากหลายเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากแม่น้ำอเมซอน มีระบบนิเวศที่สมบูรณ์และมีคนกว่า 60 ล้านที่พึ่งพาอาศัย และมีชีวิตผูกพันกับแม่น้ำ แต่เมื่อจีนเริ่มสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงตอนบน 6 แห่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาถือว่าฉายภาพผลกระทบชัดเจนที่สุดคือ เกิดการซัดพาตะกอนในลุ่มน้ำโขงตอนบนลงสู่ตอนล่าง พื้นที่ปากน้ำโขงที่เคยมีการงอกของแผ่นดินตลอด กลับพบการกัดเซาะบริเวณปากแม่น้ำประมาณ 5 เมตรต่อปี ตะกอนดินที่มีแร่ธาตุลดลง 5 % ต่อปี กระทบภาคการเกษตร ส่งผลถึงความมอุดมสมบูรณ์ของทะเล ซึ่งอาจสรุปได้ว่า หากมีการสร้างเขื่อนเพิ่มในแม่น้ำโขงตอนล่างประเมินแล้วว่า อาจเกิดการกัดเซาะตะกอนสร้างแร่ธาตุละลดลงถึง 25 %
ดร.สรณรัชฎ์ กล่าวต่อว่า ปลาในแม่น้ำโขงตอนล่างมีประมาณ 600 กว่าชนิดเป็นปลาอพยพขึ้นและลงเพื่อหากินและวางไข่ บางชนิดวางไข่ตามน้ำหลาก และวางตามโพรงหิน แต่ส่วนมากวางไข่ตามพื้นกรวดเนื่องจากมีออกซิเจนเยอะ โดยปลาจะวางไข่มากในพื้นที่แม่น้ำโขงแถบหลวงพระบางของลาว เพราะเป็นแหล่งผลิตกรวด เป็นปัจจัยตามลักษณะทางธรณีวิทยา กลายเป็น “โรงคลอด” ของปลาในแม่น้ำโขง แต่เมื่อตัดสินใจสร้าง “เขื่อนไซยะบุรี” ปรากฎว่าตำแหน่งที่ตั้งของเขื่อนวางขวางเส้นทางไปยังพื้นที่วางไข่ นอกจากนี้ยังมีผลต่อระบบการไหลของน้ำ เชื่อมต่อไปยังระบบนิเวศทะเลสาบเขมร เขื่อนไซยะบุรีไทยเป็นผู้ลงทุน รับซื้อไฟฟ้า 95 % มีทุนดำเนินการจากธนาคารไทย 6 แห่ง อาจได้ประโยชน์เรื่องไฟฟ้า แต่แลกกับการสูญเสียจำนวนมหาศาล อีกทั้งเสี่ยงต่อผลกระทบด้านประมง
“ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือคนลาวและไทยที่พึ่งลุ่มน้ำโขง แต่คนเวียดนามและคนกัมพูชา นั้นกระทบรุนแรงกว่า เพราะทั้ง 2 ประเทศนั้น มีการรับโปรตีนจากปลามากถึง 80 % อีกทั้งระบบการเกษตรของกัมพูชาพึ่งพาตะกอนแม่น้ำโขง ต้องเสี่ยงกับผลกระทบต่อการเกษตรของระบบนิเวศน์ลุ่มน้ำโขง ส่วนเวียดนามนั้นหากเขื่อนเกิดขึ้น จะกระทบต่อพื้นที่ซึ่งผลิตการส่งออกข้าวของเวียดนามมากถึง 90 % และกระทบพืชอื่นๆประมาณ 50 % กระทบต่อจีดีพีเวียดนามประมาณ 27 % ซึ่งสิ่งที่ถูกวิจารณ์อย่างมากคือเรื่องอีไอเอของเขื่อนไซยะบุรี ซึ่งพบว่าไม่มีมาตรฐานเสียงคัดค้านจากนักวิชาการและนักสิ่งแวดล้อมพยายามเสนอให้ชะลอโครงการออกไป 10 ปี แต่เจ้าของโครงการก็มาทำการศึกษาใหม่ ออกแบบใหม่ทุกครั้งแต่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลผลกระทบ ขณะที่กัมพูชาและเวียดนามก็คัดค้านมาเรื่อย ตอนนี้จึงเป็นจังหวะที่ไทยควรตื่นตัวและปรับท่าทีใหม่ มีโอกาสปฏิเสธแล้ว ไม่ควรก้าวเข้า ประชาคมอาเซียน ด้วยการคิดเอาประโยชน์ฝ่ายเดียวเช่นนี้” ดร.สรณรัชฎ์ กล่าว
ขณะที่นางสาวสฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระและกรรมการผู้จัดการ ด้านการพัฒนาความรู้ บริษัทป่าสาละ กล่าวว่า จากรายงานของคณะกรรมการเขื่อนมีข้อแนะนำหลักต่อประเทศที่มีโครงการพัฒนาด้านเขื่อนทั้งหมด 7 ข้อ คือ 1 การได้รับความยินยอม จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ควรมีทั้งสิทธิเรื่องการนำเสนอความเสี่ยงและสิทธิในการมีส่วนร่วม เช่น เรื่องการย้ายถิ่นฐาน การเจรจากรณีเยียวยาหลังการเวรคืน รวมทั้งการยินยอมย้าย และยินยอมให้สร้าง 2 ก่อนการตัดสินใจสร้างต้องประเมินทางเลือกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงาน ด้านสิ่งแวดล้อมและความโปร่งใสของโครงการ ให้ความสำคัญกับสังคมและชุมชนเทียบเท่าคุณค่าและประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และเทคนิค 3 การก่อสร้างเขื่อนใหม่ ให้พิจารณาเขื่อนเดิม ว่าสร้างแล้วเกิดการใช้ประโยชน์เพียงพิอหรือไม่ กลุ่มได้รับผลกระทบจากเขื่อนเก่ามีการเยียวยาเต็มที่แล้วหรือยัง ซึ่งไทยไม่เคยเกิดขึ้น โดยข้อแนะนำส่วนนี้ระบุด้วยว่า ทุกเขื่อนมีวันหมดอายุ และมีวันสิ้นสุดสัมปทานและมีกระบวนการหยุดเขื่อนเมื่อจำเป็น
4 การประเมินผลกระทบต้องอาศัยหลักวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ด้วยว่า มีผลกระทบข้ามพรมแดนหรือไม่ มีประเมินย้อนหลัง ประเมินไปข้างหน้า และประเมินผลกระทบสะสม 5 การตัดสินใจสร้างแล้วต้องยอมรับให้ประเทศที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เข้ามาร่วมสิทธิเจรจาเพื่อแบ่งปันประโยชน์ด้วย 6 คำแนะนำสำหรับสถาบันการเงินระบุว่า สถาบันใดที่ให้การสนับสนุนโครงการพัฒนาดังกล่าวต้องมีการเสนอบทลงโทษสำหรับผู้ดำเนินโครงการที่ไม่ปฏิบัติตาม 5 ข้อที่กล่าวมาด้วย และ 7 แม่น้ำที่หลายประเทศใช้รวมกัน ไม่มีประเทศหนึ่งเป็นเจ้าของ อาจกล่าวได้ว่า เป็นแม่น้ำแห่งสันติภาพ ต้องมีการแบ่งปันกันเพื่อการพัฒนาอย่างมั่นคง ” นางสาวสฤณี กล่าว
นักวิชาการรายนี้ กล่าวต่อว่าสำหรับความล้าหลังของไทยและความเสี่ยงทางการเงินของเขื่อนไซยะบุรี คือ ไม่มีสถาบันการเงินใดลงนามในเรื่องการประเมินเรื่องความเสี่ยงตามมาตรฐานสากล ขณะที่บริษัทสร้างเขื่อนในไทยเป็นแค่บริษัทรับเหมาธรรมดา ไม่มีบริษัทผู้เชี่ยวชาญพลังงานน้ำ ขณะเดียวกันวิธีคิดของการปล่อยสินเชื่อในธนาคารไทย คือ มีการใช้กฎเก่าคือไม่ประเมินความเสี่ยงของลูกหนี้ ไม่ประเมินมาตรฐานของลูกหนี้
“อย่างไรก็ตามทิศทางการดำเนินการที่ควรจะเป็นในอนาคต คือ กรณีศาลปกครองตัดสินนั้น ก็อาจเป็นไปได้ว่า ศาลสั่งคุ้มครองชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ การระงับสินเชื่อจากธนาคารก็จะถูกดำเนินการโดยปริยาย หรืออีกทางหนึ่ง คือ รัฐบาลไทย ซึ่งขณะนี้ คือ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.สามารถประกาศยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าก็อาจทำได้ โดยอ้างผลกระทบต่อชุมชน หรืออ้างหลักฐานให้ชี้ชัดได้ว่า ผู้ดำเนินโครงการแจ้งข้อมูลเท็จ ซึ่งเจ้าหนี้สามารถระงับสินเชื่อได้ ทันทีอาจส่งผลให้ ธนาคารสามารถใช้เวลาทบทวนได้ ว่ามีผลกระทบต่อชุมชนหรือเปล่า อีกทางหนึ่งคือ ธนาคารที่ให้การสนับสนุนถอนตัวออกจากโครงการก็สามารถทำได้” นางสาวสฤณี กล่าว
ด้าน นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวว่า น่าจับตามองว่าครั้งนี้กัมพูชามีการส่งจดหมายถึงอดีตนายกฯ ไทยเพื่อคัดค้าน ไทยน่าจะเรียนรู้และพิจารณาจากบทเรียนการเคลื่อนไหวของกัมพูชาได้แล้ว และหันกลับมามองทุนในประเทศดูว่าทำร้ายเพื่อนบ้านมากเพียงใด เพราะการออกจดหมายของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ของกัมพูชา เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ถือเป็นการเคลื่อนไหวทางจากผู้มีบทบาททางการเมืองเป็นครั้งแรก