จากนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ไม่เพียงยุติความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านด้านตะวันออก ทั้งลาวและกัมพูชา ซึ่งแตกต่างกันด้วยระบอบการเมืองการปกครอง แต่ยังกลายเป็นคู่ค้า เป็นตลาดใหม่ของไทย ซึ่งกลายเป็นต้นแบบนโยบายมองตะวันตก ในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทยเมื่อกว่า 10 ปีก่อน
แม้ประเทศพม่าจะมีประชากรร่วม 50 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มาก หากเทียบกับลาวที่มีประชากรประมาณ 7 ล้านคน และกัมพูชาที่มีประชากรประมาณ 15 ล้านคน แต่ข้อกังวลของการพัฒนาพื้นที่ชายแดนตะวันตกคือความแตกแยกภายในประเทศพม่า ซึ่งประกอบด้วยประชากรจากหลาย ชาติพันธุ์ และอดีตร่วม 50 ปีที่ผ่านมา ชายแดนไทย-พม่าคือพื้นที่การสู้รบรุนแรงระหว่างรัฐบาลพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ซึ่งยืดเยื้อมาถึงขณะนี้
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีนโยบายด้านชายแดนที่ชัดเจนในการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ แต่พื้นที่ชายแดนทุกด้านไม่มีที่ไหนคืบหน้ามากเท่ากับ อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งจะเชื่อมโยงการพัฒนากับเมืองเมียวดี ประเทศพม่า การพัฒนายิ่งคืบหน้า แต่สถานการณ์ขัดแย้งก็ยิ่งคุกรุ่นเช่นกัน ช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา เกิดเหตุทหารรัฐบาลพม่าและกองกำลังกะเหรี่ยงปะทะกันหลายครั้ง
การเดินทางเยือนประเทศพม่าของ พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา มีการหารือกับ เต็งเส่ง ประธานาธิบดีพม่า เกี่ยวกับพื้นที่ชายแดนที่น่าสนใจอยู่ 2 ประเด็น คือ ความร่วมมือการพัฒนาพื้นที่ ชายแดน และโครงการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งก็คือเขตเศรษฐกิจแม่สอด และโครงการเขื่อนฮัตจีกั้นแม่น้ำสาละวิน ในพื้นที่ตรงข้าม อ.ท่าสองยาง จ.ตาก
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาใน 2 ประเด็นที่ผู้นำ ทั้งสองประเทศหารือกันนั้น คงไม่อาจเกิดขึ้นโดยง่าย หากไม่ฟังเสียงจากกองกำลังกะเหรี่ยง โดยเฉพาะสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือเคเอ็นยู ซึ่งยังคง มีกองกำลังและอิทธิพลอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
พล.อ.บอจอแฮ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดของ เคเอ็นยู ตอบชัดเจนว่า “พื้นที่นี้เป็นของเคเอ็นยู ถ้าเราไม่มีส่วนร่วมก็คงจะเกิดขึ้นไม่ได้”
รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดเคเอ็นยู อธิบายว่า การพัฒนาต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น เป็นความพยายามอย่างเร่งรีบของรัฐบาลพม่า โดยไม่เคารพต่อกระบวนการสันติภาพที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ได้ร่วมกันเสนอนั่นคือ หยุดยิง วางแนวทางการเมือง และจึงค่อยพัฒนา
“โครงการพัฒนาต่างๆ ควรเป็นไปตามลำดับ คือหยุดยิงกันก่อน แล้วมาทำข้อตกลงกระบวนการทางการเมือง จากนั้นค่อยมาพูดคุยกันถึงโครงการพัฒนา แต่สำหรับรัฐบาลพม่าเขาขอให้หยุดยิงแล้วพัฒนา ส่วนการปูทางกระบวนการทางการเมืองนั้นค่อยมาว่ากันทีหลัง แต่เคเอ็นยูมองว่าถ้าไม่วางแนวทางการเมือง แต่มาลงทุนพัฒนากันก่อน จะทำให้เกิดความวุ่นวายในภายหลัง”
พล.อ.บอจอแฮ บอกว่า ในสถานการณ์ที่ไม่มั่นคง การลงทุนต่างๆ ผลประโยชน์ตกอยู่กับบางกลุ่ม ซึ่งทำให้พฤติกรรมของบางกลุ่มเปลี่ยนไป ซึ่งอาจมีผลกระทบในภายหน้า เช่น ปัญหาคอร์รัปชั่น ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในระดับปฏิบัติการ โดยกลุ่มทุนและรัฐบาลพม่าใช้เงินเจาะพื้นที่ ผู้ปฏิบัติไม่รายงานต่อหน่วยเหนือ ซึ่งน่ากังวลว่าต่อไปปัญหาจะขยายมากขึ้น
“โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษขณะนี้ก็เกิดปัญหากระทบกับที่ดิน เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับชาวบ้านในโครงการทวาย ส่วนเรื่องเขื่อนพม่ามีการเสริมกำลังเข้ามาในพื้นที่ก่อสร้าง มีการปะทะกันแล้วหลายครั้ง หากยังมีการสู้รบกันต่อไป ประเทศไทยก็มีความเสี่ยงที่จะต้องรับผู้หนีภัยชุดใหม่ เพราะชาวบ้านคงแตกกระเจิง ที่สำคัญจะเป็นการขัดขวางกระบวนการสันติภาพที่ทุกฝ่ายพยายามสร้างให้เกิดขึ้น”
พล.อ.บอจอแฮ กล่าวว่า แม้ภาพลักษณ์ทางการเมืองของรัฐบาลพม่าจะเปลี่ยนไป แต่ก็ใช่ว่าจะมีการปูทางกระบวนการเพื่อเป็นประชาธิปไตย ขณะที่ด้านการทหารก็มีแผนการชัดเจน คือ เคลื่อนไหวในระดับพื้นที่โดยไม่เป็นข่าว เพื่อควบคุมกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ให้ได้ ดังนั้นในการเลือกตั้งปี 2558 ก็คงไม่เป็นไปอย่างตรงไปตรงมาตามหลักประชาธิปไตย
เขาบอกว่า สำหรับกลุ่มกะเหรี่ยงได้มีการเตรียมพร้อมที่จะรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต โดยกองกำลังติดอาวุธทุกกลุ่มที่เคยแตกแยกกัน อาทิ เคเอ็นยู และดีเคบีเอ ก็จะกลับมารวมกันอีกครั้งในชื่อ กองกำลังกอซูเล หรือ Kawthoolei Armed Force (KAF) จะมีการวางระบบ แนวทางการปฏิบัติของแต่ละกองกำลังเป็นแนวทางเดียวกัน จะมีการแถลงการณ์ร่วมกันอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้
“ข้อเสนอและจุดยืนของเราชัดเจนมาตลอดนั่นคือ หยุดยิง แล้ววางแนวทางการเมืองให้ชัดเจน จากนั้นค่อยมาพูดถึงโครงการพัฒนาต่างๆ และต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอนที่ว่านี้”
พล.อ.บอจอแฮ ย้ำอย่างหนักแน่น ซึ่งทำให้ต้อง ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่า ความขัดแย้งของกลุ่ม กะเหรี่ยงและรัฐบาลพม่า จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนด้านตะวันตกหรือไม่