เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2557 น.ส.อัญชุลี ลักษณ์อำนวยพร ประธานเครือข่ายอาสาคนรักแม่กลอง จังหวัดราชบุรี เปิดเผยว่าจากการที่เครือข่ายอาสาคนรักแม่กลองและภาคีเครือข่ายที่ร่วมกันคัดค้านโครงการทางหลวงสายพิเศษ สาย 8 หรือ มอเตอร์เวย์ นครปฐม-ชะอำ ของกรมทางหลวง โดยได้ส่งหนังสือร้องเรียนพร้อมด้วยรายชื่อผู้คัดค้าน 2,015 รายชื่อไปยังสำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน และอีก 12 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงในข้อกฏหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายมาตรา และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลกระทบต่อชุมชนที่จะเกิดขึ้น ซึ่งล่าสุดได้รับการตอบกลับจากสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแล้วว่าในวันที่ 25 ธันวาคมนี้ จะส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตามแนวถนนมอเตอร์เวย์สายนี้ ที่อยู่ในเขตจังหวัดสมุทรสงครามและจังหวัดราชบุรี เพื่อสำรวจข้อมูลและตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ได้รับการร้องเรียน นอกจากนี้ด้านสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นอีกหน่วยงานที่ได้ส่งหนังสือร้องเรียนไป ล่าสุดได้มีการนำเรื่องร้องเรียนเข้าหารือในที่ประชุมใหญ่และส่งเรื่องต่อให้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนดำเนินการตรวจสอบ
น.ส.อัญชุลี กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาภาคประชาชนได้ส่งหนังสือถึงกรมทางหลวงถึง 3 ฉบับ เพื่อขอให้เปิดเผยผลสรุปการรับฟังความคิดเห็นโครงการทางหลวงพิเศษ นครปฐม – ชะอำ ฉบับสมบูรณ์ แต่ถึงขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวจากกรมทางหลวง ซึ่งขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ.2548 ที่กำหนดให้มีการเปิดเผยผลสรุปภายใน 30 วัน นับจากวันที่เสร็จสิ้นกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในเวทีสุดท้ายเมื่อปลายเดือนสิงหาคม ซึ่งที่ผ่านมามีเพียงการเผยแพร่แผ่นพับที่ระบุว่าเป็นหนังสือสรุปเวทีรับฟังความคิดเห็นกลุ่มย่อมเท่านั้น อีกทั้งข้อมูลดังกล่าวยังไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริงส่วนใหญ่ที่ประชาชนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นในเวที
อนึ่ง ข้อมูลในหนังสืิอร้องเรียนระบุว่า ลักษณะภูมิประเทศของจังหวัดสมุทรสงครามและจังหวัดราชบุรี เป็นพื้นดินราบลุ่ม–ราบลุ่มต่ำ ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 1-2 เมตร เหมาะแก่การทำเกษตรกรรม เพาะปลูกข้าว ปลูกพืชไร่ สวนผลไม้นานาชนิด มีความอุดมสมบูรณ์ด้านชลประทาน เพราะมีแม่น้ำแม่กลองและแม่น้ำแควไหลผ่าน แต่การดำเนินโครงการมอเตอร์เวย์ สายนครปฐม – ชะอำ มีผลทำให้สูญเสียพื้นที่เกษตรไปเป็นถนนจำนวนมาก คือ พื้นที่โครงการฯ ตอนที่ 1 สูญเสียพื้นที่ 5890.2 ไร่ และพื้นที่โครงการฯ ตอนที่ 2 สูญเสียพื้นที่ 3286.25 ไร่ จากการเวนคืนที่ดินทั้งหมด 10,583 ไร่ และเวนคืนสิ่งปลูกสร้าง 614 หลังคา




