ข้อกังวลของนักวิชาการตลอดกระบวนการผลิต หลังลงพื้นที่สำรวจเหมืองแร่โปแตชอาเซียน จ.ชัยภูมิ พร้อมแนะข้อเสนอที่ต้องทำก่อนเปิดเหมืองจริงในอีก 3 ปีข้างหน้า
รอ มานานกว่า 25 ปีหลังการก่อตั้ง วันนี้บริษัทเหมืองแร่โปแตชอาเซียน จำกัด (มหาชน) ได้รับประทานบัตรบนเนื้อที่กว่า 9,000 ไร่ ในอ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งพร้อมจะดำเนินการก่อสร้างในสิ้นปีนี้ และจะเดินเครื่องการผลิตจริงในปี 2561 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า
ทีมข่าวกรีนนิวส์ทีวีจึงลงพื้นที่สำรวจเหมืองพร้อมนักวิชาการด้านธรณีวิทยา จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ.ดร. รุ่งเรือง เลิศศิริกุล และนักวิชาการด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยราชภัฎ จ.ชัยภูมิ อีก 2 ท่านคืออาจารย์ศักดิ์ชาย เพชรตรา และอาจารย์จันทร์จิรา ตรีเพชร ซึ่งพบว่าแม้รายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการดังกล่าวจะ ได้รับการอนุมัติแล้ว แต่ยังมีข้อกังวลตั้งแต่การขุดเจาะ ไปจนถึงขั้นตอนการถมช่องเหมือง
กระบวนการขุดเจาะ
แม้ กำแพงคำย้ำจะเป็นโครงสร้างสำคัญของเหมืองใต้ดินแห่งนี้ ที่เมื่อมีการทำเหมืองทดลอง และสร้างสถานีเฝ้าระวังการลดระดับของผิวดินจะพิสูจน์แล้วว่าในอีก 50 ปีจะไม่ก่อปัญหาแผ่นดินทรุด แต่ในขั้นตอนก่อนทำการขุดแร่ในเหมืองใต้ดิน นั่นคือการทำอุโมงค์ลงไปโดยใช้การระเบิดเพื่อเจาะหลุม อาจเป็นสาเหตุของแรงสั่นสะเทือนได้
อีกทั้งความลึกของชั้นแร่โปแตชที่ จะนำมาใช้ อยู่ในระดับที่ลึกกว่าชั้นดินเหนียวซึ่งเป็นชั้นของน้ำบาดาล การขุดนำแร่ขึ้นมาจึงมีโอกาสที่ทำให้เกลือจากแร่ และเกลือในชั้นดินอื่น ๆ บนเปื้อนกับน้ำบาดาลได้
(ภาพโครงสร้างทางธรณีวิทยาของชั้นดินในพื้นที่เหมือง)
ขั้นตอนการแต่งแร่
ขั้น ตอนการแต่งแร่จะใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำลำคันฉู แหล่งน้ำสำคัญในอุปโภคบริโภคและการเกษตรของประชาชน 12 ตำบล ในอ.บำเหน็จณรงค์ ซึ่งจะใช้ในปริมาณ 350 ลูกบาศ์เมตรต่อชั่วโมงหรือเทียบเท่ากับ 5 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่อ่าง ผลกระทบสำคัญคือปริมาณน้ำที่ไม่เพียงพอกับชาวบ้านในพื้นที่ เพราะน้ำจะถูกใช้ตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อเดินเครื่องการผลิต และจะใช้ยาวนานกว่า 8 เดือนต่อปี ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวเป็นช่วงหน้าแล้งของภาคอีสาน
(ภาพพื้นที่อ่างเก็บน้ำลำคันฉูในช่วงหน้าแล้ง 1 มีนาคม 2558)
และ ด้วยสภาพน้ำที่มีความเค็มตามธรรมชาติ ในขั้นตอนการสูบน้ำซึ่งมีการวางท่อใต้ดิน น้ำอาจกัดเซาะจนเกิดการรั่วไหล หรือมีการรั่วซึมตามข้อต่อของท่อ อาจส่งผลให้น้ำเค็มแพร่กระจายออกสู่หน้าดิน
การกักเก็บหางแร่
พื้นที่ บ่อเก็บหางแร่ มีขนาด 5,600 ไร่ ซึ่งจะสร้างเป็นบ่อเก็บหางแร่ขนาด 2,500 ไร่ และในส่วนที่เหลือจะใช้เป็นพื้นที่สีเขียว โดยจะมีการสร้างคันดินรอบบ่อและปูพื้นด้วยแผ่นวัสดุกันซึม แม้โครงการสร้างจะรองรับการรั่วไหลของหางแร่เมื่อเกิดฝน แต่กลับไม่มีสิ่งปกคลุมบ่อเก็บหางแร่แต่อย่างใด เนื่องจากเห็นว่ากากหางแร่โปแตชมีลักษณะเปียกชื้นกึ่งหมาด จึงเป็นไปได้ยากที่จะเกิดการฟุ้งกระจาย
แต่สำหรับนักวิชาการถือว่า เป็นความเสี่ยง เพราะสังเกตได้จากพื้นที่ใกล้เคียงมีการนำกังหันลมมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า จึงคาดว่าในพื้นที่เหมืองมีปริมาณลมเพียงพอที่จะพัดให้กากหางแร่ฟุ้งกระจาย ได้ รวมทั้งภาคอีสานที่มีอากาศร้อนจัดจะทำให้คุณบัติเปียกชื้นของแร่หมดไปด้วย
(ภาพแผนผังการสร้างบ่อเก็บกากหางแร่ (ภาพบน) – ภาพพื้นที่ก่อสร้างในปัจจุบัน (ภาพล่าง))
ทั้ง นี้พื้นที่ก่อสร้างบ่อเก็บกากหางแร่ยังอยู่ในพื้นที่เนิน ส่วนพื้นที่ราบด้านล่างเป็นพื้นที่เกษตรกรรม อาทิ ข้าว ไร่ข้าวโพด และมันสำปะหลัง รวมทั้งเป็นพื้นที่อยู่อาศัย จึงมีความเสี่ยงถ้าเกิดการรั่วไหล กากหางแร่จะไหลลงสู่พื้นที่ราบสร้างความเสียหายกับพื้นที่ดังกล่าว
การถมช่องเหมือง
ใน ปีที่ 5 หลังเริ่มต้นการผลิต กากหางแร่ที่อยู่ในบ่อกักเก็บจะทยอยนำกลับไปอัดคืนยังช่องเหมืองตามเดิม ซึ่งจะทำให้ในอีก 20 ปีเมื่อเหมืองหมดระยะเวลาดำเนินการ กากหางแร่ทั้งหมดจะไม่มีให้เห็นบนผืนดินอีกต่อไป
แต่กระบวนการอัดคืน ที่จะดำเนินการทุกวัน จึงนำมาสู่ความกังวลต่อกระบวนการขนย้ายจากบ่อเก็บกากหางแร่ไปสู่พื้นที่ เหมืองเดิม ที่อาจทำให้เกลือกระจายออกสู่ธรรมชาติ ทั้งนี้กากหางแร่ที่เกิดจากการสกัดโปแตชออกไปแล้วจะมีแค่ส่วนของเกลือเท่า นั้น จึงทำให้ดินในบริเวณที่นำกากหางแร่ไปฝังจะมีปัญหาดินเค็มอย่างรุนแรง
ซึ่ง นอกจากความกังวลข้างต้นที่ควรนำไปทบทวนและมีแนวทางที่ต้องชัดเจนมากขึ้น นักวิชาการยังมีข้อเสนอที่ควรได้รับการพิจารณาก่อนที่เหมืองแร่โปแตชอาเซียน จะเริ่มเดินเครื่องการผลิตจริง ซึ่งได้แก่
- การแบ่งผล กำไรให้กับประชาชนในพื้นที่ก่อตั้งเหมือง ใน 3 ตำบล ได้แก่ ต.บ้านตาล ต.หัวทะเล และ ต.บ้านขาม ซึ่งจะไม่รวมกับค่าภาคหลวงและกองทุนที่ต้องได้รับอยู่เดิม แต่เป็นการแบ่งในรูปแบบหุ้นหรือสหกรณ์ รวมไปถึงการจ้างงานคนในท้องถิ่นที่ไม่ควรแค่ในระดับลูกจ้างเท่านั้น แต่ต้องมีส่วนในบอร์ดบริหารด้วย
- เก็บตัวอย่างทางกายภาพรอบพื้นที่ ก่อสร้างเหมือง เพื่อนำไปเป็นข้อมูลเปรียบเทียบในการตรวจสอบหากเกิดผลกระทบ ซึ่งได้แก่ข้อมูลคุณภาพดิน โดยเฉพาะดินในบริเวณที่เป็นเส้นทางขนส่งกากหางแร่ ข้อมูลปริมาณน้ำซึ่งจะต้องเก็บตัวอย่างเปรียบเทียบในทุกฤดูกาล รวมไปถึงข้อมูลสุขภาพของประชาชน โดยตรวจปัญหาระบบทางเดินหายใจ และโรคไตเป็นพิเศษ
- ทั้งนี้ดินในบริเวณเหมืองมีปัญหาดินเค็มอยู่เดิม แล้ว ดังนั้นถ้าเกิดปัญหาดินเค็มเพิ่มในอนาคตจึงอาจจะตรวจสอบได้ยาก จึงควรแก้ไขปัญหาดินเค็มในพื้นที่เสียก่อน ซึ่งอาจทำโดยการปลูกต้นยูคาลิปตัสเพื่อให้ดูดซึมเกลือในดินออกไป ก่อนจะทำการเก็บตัวอย่าง ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชาวบ้านในพื้นที่ว่าเหมืองมีความจริงใจใน การลดผลกระทบหากมีปัญหาเกิดขึ้น
- จะเห็นว่าในทุกกระบวนการเหมืองมี ความมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินตามขั้นตอนที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ แต่จะมั่นใจได้มากน้อยเพียงใดหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น จึงควรมีขั้นตอนดำเนินการและวิธีการลดผลกระทบ หากเกิดปัญหาฉุกเฉินในทุกกรณีด้วย
วรัญญา จันทราทิพย์ ถ่ายภาพ
ขวัญชนก เดชเสน่ห์ สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม GreennewsTV รายงาน
http://goo.gl/aVfGTZ







