Search

เกาะหลีเป๊ะในวันที่ “แผ่นดินอูรักลาโว้ยขาดแคลนน้ำ

received_899119240131362

“ยายทำไมต้องมาเอาน้ำไกล” แพนด้า เด็กชายชาวเลเชื้อสายอูรักลาโว้ยวัย 2 ขวบเศษ เอ่ยถาม “ละออง รักษ์ทะเล” ด้วยความไร้เดียงสา ระหว่างการเดินทางไปเอาน้ำจืดของครอบครัวรักษ์ทะเล จากเกาะหลีเป๊ะไปยังเกาะอาดัง

“เราต้องไปเอาน้ำจืดมากินนะแพนด้า เราไม่มีเงินซื้อ ที่นั่นมีน้ำตกสวยๆให้เด็กอาบด้วย มันเย็นนะ น้ำใสด้วย ใสและไม่เค็มเหมือนน้ำทะเล แพนด้าเคยเห็นน้ำตกไหม” ละออง ตอบพร้อมเย้าหยอกหลานชายให้ตื่นเต้นกับการเดินทางที่ต้องใช้เวลานานครึ่งค่อนชั่วโมง แพนด้าทำท่าทางตื่นเต้นกับการได้ไปเล่นน้ำจืด แต่ก็ทยอยตั้งคำถามกับยายและตาไปตลอดการเดินทาง

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การเดินทางครั้งแรกของแพนด้าและครอบครัวรักษ์ทะเล แต่เด็กน้อยก็ยังไม่อยู่ในวัยที่รับรู้ถึงปัญหาที่แท้จริงของรุ่นตายายว่า เหตุผลที่ต้องไปหาน้ำจืดจากเกาะอาดังมาใช้เพราะบ่อน้ำจืดที่เกาะหลีเป๊ะถูกกระแสการพัฒนาทับถมจนไม่เหลือพื้นที่ใดให้ใช้น้ำจืดได้อีกแล้ว เว้นแต่บ้านใครมีเงินจะสร้างบ่อเก็บน้ำส่วนตัว มีประปาใช้ในครัวเรือน และซื้อน้ำบริโภคเป็นขวด เป็นถัง ไว้รองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งค่าใช้จ่ายบนเกาะในการจัดหาน้ำนั้น สูงเกินกว่าที่ชาวอูรักลาโว้ยจะจ่าย

ครั้งนี้พวกเขาใช้เรือหางยาวของครอบครัวขนถังและขวดเปล่าไปหลายใบ เพื่อหวังจะกรอกน้ำจืดไว้ใช้ให้ยาวนานที่สุด โดยใช้เวลาว่างจากการเดินเรือท่องเที่ยวมาแวะขนน้ำเข้าบ้าน

received_899119256798027
ระหว่างการเดินทางมีเรือท่องเที่ยวและเรือประมงล่องลอยอย่างครึกครื้นอยู่กลางทะเลอันดามัน บ้างเปิดเพลงสร้างความบันเทิงบนเรือ บ้างแวะดำน้ำตามจุดต่างๆ บางคนก็ดำผุด ดำว่ายกลางอันดามันสีครามใส บรรยากาศการท่องเที่ยวบนเกาะหลีเป๊ะยังดูมีสีสันตลอดเวลา ต่างจากชาวเลอูรักลาโว้ยกลับขมขื่นแทบทุกช่วงเวลา แม้จะได้รับจ้างนักท่องเที่ยวบ้างแต่สิทธิหลายอย่างก็เริ่มหายไป แม้กระทั่ง “ปัจจัยในการใช้ชีวิตที่คนทั่วไปขาดไม่ได้อย่างน้ำจืด”

“อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ไปได้หมดเลยนะ ถ้ามีเงินแล้วมาเกาะหลีเป๊ะ แต่ถ้าไม่มีก็อยู่อย่างเรานี่แหละ กลางทะเลดูน้ำมันมีสีใสนะ แต่พอมองขึ้นไปบนเกาะจะเห็นขยะเต็มเลย แม้แต่ในพื้นที่บริเวณน้ำตกที่เราไปเอาน้ำดื่ม ขยะเกลื่อนเลยนะ” ละอองเอ่ยขึ้นก่อนที่เรือจะเทียบท่าฝั่งชายหาดเกาะอาดัง พอเรือจอดนิ่ง “แพนด้า” รีบแบกลังขวดน้ำลงเรือ พร้อมกับอาการดีใจที่ได้เล่นน้ำจืด ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีชื่อภาษาอูรักลาโว้ยว่า “เจาะปะยูเร” เป็นชื่อดั้งเดิมที่ชาวบ้านเรียกขานมาละอองให้ข้อมูลว่า “เจาะ” แปลว่าน้ำตก ส่วนปะยูเร น่าจะเป็นชื่อของคนอูรักลาโว้ยคนแรกที่พบแหล่งน้ำจืดดังกล่าว

จากจุดบริเวณเรือจอดเทียบถึงแหล่งน้ำจืด มีระยะห่างกันแค่ประมาณ 50 เมตร ภาพตรงหน้าที่คนต่างถิ่นอย่างฉันรับรู้ได้ไม่ใช่น้ำตกอลังการ แต่เป็นภาพท่อประปาที่เชื่อมทางน้ำไหลจากภูเขา มีร่องน้ำแคบๆไหลเซาะหาดทราย ชาวบ้านหลายคนระบุว่าเป็นแหล่งน้ำเดียวที่ชาวเลใช้บริโภคและพวกเขาเต็มใจจะเรียกภาษาไทยกลางว่า “น้ำตก” หลังจากบ่อน้ำบนเกาะหลีเป๊ะหลายแห่งนั้นมีสภาพเน่าเสีย มีน้ำเค็มไหลผสมและบางส่วนถูกกลบฝังไปนานเกือบ 10 ปี

ละอองและครอบครัวช่วยกันกรอกน้ำทีละขวด พลางเล่าถึงอดีตอันสมบูรณ์ของเกาะหลีเป๊ะซึ่งปัจจุบันแทบไม่เหลือรากเหง้าใดๆให้จดจำ ระหว่างที่เธอวุ่นกับการกรอก แพนด้าเล่นซนไปเรื่อยๆ บางครั้งก็เอาทรายมาฝังขวดน้ำ บางครั้งจะเปิดน้ำเททิ้ง ตามประสาเด็ก เธอต้องคอยดุตลอดเวลาแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอธิบายให้หลานชายฟังถึงความสำคัญของน้ำจืดท่ามกลางทะเลอันดามันอย่างไร

received_899119246798028
“เด็กนะบางที่เขาไม่รู้หรอกว่า เราต้องหาเงินมาเติมน้ำมันเรือ เอาเรือมาขนน้ำ เอาไปใช้ไปกิน เขาไม่รู้ว่าเราลำบาก มันยากนะจะบอก แต่บอกเขาสั้นๆว่า ไม่ได้ดื่มน้ำนี่ก็ตาย ร่างกายขาดน้ำไม่ได้ คิดได้ว่าเสียดายแต่ทำอะไรไม่ถูกและไม่รู้จะฟ้องใครเขาได้ ก็เราไม่ใช่เจ้าของที่ทั้งเกาะนี้ เมื่อก่อนที่นี่สะอาด ชาวเลไม่มีปัญหาขยะนะ บนเกาะหลีเป๊ะเช่นกัน สะอาดมาก มีแค่เศษใบไม้ น้ำที่เราใช้ก็ใส รสดี เราดื่มได้ เดี๋ยวนี้ลงเล่นน้ำทะเลหรือใช้น้ำข้างบน ถ้าไม่ใช่น้ำประปาจากถัง รับรองว่าคันมาก” ละอองย้อนความด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย

เธออธิบายเพิ่มเติมว่า จริงๆ แล้วหาด ซันไรส์(Sunrise) เป็นชื่อที่ฝรั่งนักท่องเที่ยว นักลงทุนเขามาตั้งทีหลัง แปลว่าอะไรยังไม่รู้เลย แต่หาดที่เราอยู่ เราเรียกกันในอดีตแบ่งเป็นสองฝั่งซ้ายขวาจากพื้นที่ตั้งโรงเรียนบ้านอาดัง เรียกฝั่งซ้ายจากโรงเรียนว่า “หมู่บ้านหาดตูโป๊ะ” และฝั่งขวาเรียกว่า “หมู่บ้านหาดปาดัก” ไม่มีคำแปลที่แน่นอน แต่ชาวบ้านเรียกชื่อหาดนี้เพราะเป็นหาดที่มีคนอาศัยอยู่แน่นหนา ส่วนหาดพัทยาจริงๆแล้วชื่อ “ปาตัย ดายา” ซึ่งเมื่อก่อนชาวเลใช้ปลูกพืช เมื่อก่อนนั้นไม่มีนักท่องเที่ยว หาดบารักจะเป็นหาดที่มีบ่อน้ำจืดอยู่ราว 3 จุด เป็นบ่อน้ำที่ไหลจากรากไม้ใหญ่ ภาษาอูรักลาโว้ยเรียกว่า “ตากราบาตู” แปลว่าน้ำศักดิ์สิทธิ ซึ่งชาวบ้านไม่มีสิทธิครอบครองส่วนตัวแต่จะต้องใช้ร่วมกัน เพราะหากใครครอบครองหรือไม่ยอมให้คนอื่นเข้าไปเอาน้ำ ก็ถือว่าผิดกฎ เจ้าที่ที่เฝ้าบ่อน้ำ เราจึงต้องแบ่งปันกันเพื่อให้ชุมชนเกิดความร่มเย็น

“คนแก่เมื่อก่อนเขาบอกว่า ชุมชนจะรุ่ง หรือจะล่มให้ดูที่การแย่งน้ำกินน้ำใช้ ตอนนี้เกาะหลีเป๊ะคงล่มแล้ว เพราะเราไม่มีแม้น้ำดื่ม ค่าน้ำถ้าจะซื้อก็ตกเดือนละหลายร้อยบาท กำไรจากการขับเรือจ่ายค่าน้ำค่าไฟก็ไม่พอแน่ๆ เราไม่รู้จะไปขอจากใครแล้ว น้ำประปาที่เทศบาลเอามาให้ บางทีก็ไม่พอ จะซื้อเขามาก็คิดค่าขนส่งแพงมาก เรายอมมาขนน้ำเองจะดีกว่า ขากลับจะได้แวะเยี่ยมสุสานญาติๆที่เกาะอาดังด้วย เพราะเดี๋ยวนี้ขยะท่วมสุสานแล้ว” ละอองทิ้งท้าย

จากคำบอกเล่าของหลายๆคนบนเกาะหลีเป๊ะ ระบุว่าช่วงฤดูกาลปิดเกาะนักท่องเที่ยวซบซาลง ชาวบ้านมีเวลาในการนำเรือประมงและสร้างกระท่อมเล็กๆที่เกาะอาดังบริเวณใกล้แหล่งน้ำ เพื่อจะได้ใช้น้ำจืดได้ง่ายๆ แต่พอถึงฤดูการเปิดการท่องเที่ยวชาวบ้านก็จะเปลี่ยนจากทำประมงพื้นบ้าน มารับจ้างขนของ ส่งนักท่องเที่ยวขึ้นเกาะหลีเป๊ะ ปรับตัวตามอัตภาพ แต่ครอบครัวของละอองไม่เคยย้ายไปอาดัง เพราะเกรงว่าที่ดินที่เคยอยู่บนหลีเป๊ะจะถูกยึดถาวร

สิ้นภารกิจขนน้ำดื่ม น้ำใช้ ละอองกับสามีขนน้ำขึ้นเรือกลับมายังบ้านเล็กๆแล้วจัดสรรน้ำไว้ใช้ในบ้าน เธอบอกว่าต้องออกเรือไปขนน้ำประมาณสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่หากเป็นฤดูฝนสามารถรองน้ำฝนไว้ล้างอาหารสดได้

received_899119226798030

ปัจจุบันหน้าหาดซันไรส์ที่เริ่มเติบโต มีทั้งโรงแรม ร้านอาหารทั้งใหม่เก่า บ้างยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ช่วงเย็นวันเดียวกันฉันพบกับ “ลุงสิงห์” (นามสมมุติ) คนขับเรือรับจ้างขนของระหว่างท่าเรือปากบารากับเกาะหลีเป๊ะ เขาบอกว่า ขณะนี้น้ำทะเลบนเกาะหลีเป๊ะนั้นติดเชื้อแล้ว น้ำโสโครกเยอะขึ้น และบนเกาะไม่มีระบบบำบัดน้ำเสีย ขณะที่ท้องถิ่นไม่มีการขนน้ำมาบริการประชาชน ทุกคนต้องอยู่ตามอัตภาพ กรณีน้ำทะเล น้ำบ่อที่ติดเชื้อทำให้ชาวเลบางคนจึงป่วยโรคผิวหนัง ขณะที่บางคนยังต้องเดินทางไปขนน้ำจืดที่เกาะอาดังต่อเนื่องเพราะไม่อยากเสียเงินในการซื้อน้ำ ส่วนร้านค้าในหมู่บ้านที่อยู่กลางชุมชนไม่มีพื้นที่ติดหาดนั้น ไม่ได้อยู่อย่างสะดวกสบาย พวกเขาต้องจ่ายค่าขนส่งน้ำเพิ่มขึ้นจากราคาขายทั่วไปอีกขวดละ 5 บาท

“อนาคตหากหน้าหาดถูกปิดล้อมด้วยเจ้าของรีสอร์ท โรงแรม ร้านอาหาร ผมว่าจะเลิกอาชีพรับจ้างขนของแล้ว เพราะตอนนี้โรงแรมเขาแสดงกรรมสิทธิ์หน้าหาด เรือจะจอดส่งของที ต้องจ่ายค่าผ่านทาง ค่าจอด ผมเองต้องจ้างคนมาแบกของอีก จึงไม่แปลกที่ราคาน้ำดื่มบนเกาะจะแพงมาก บางที่สูงราคาขวดละ 50 บาท ก็เพราะรีสอร์ที่อยู่ข้างในนั้นต้องจ่ายเงินส่วนนี้ ผมคนขนของเองก็ต้องจ่ายหลายอย่างให้เขา อย่างหน้าหาดซันไรส์ ทุกวันนี้ที่ผมเคยจอดหน้าหาด อีก 2 ปีเขาว่ารีสอร์ทจะขึ้น เป็นของฝรั่งมาเช่าที่ทำธุรกิจที่พัก เพราะว่ากำไรในหลีเป๊ะนั้นมหาศาล เขาก็อยากลงทุน แต่คนที่จะตาย คือ อาชีพอย่างเรา ผมพูดเลยว่า เมื่อใดที่การจัดการน้ำอุปโภคบริโภคไม่พร้อม หลีเป๊ะจะแพงเรื่อยๆ และเมื่อใดไม่มีการคุมนักท่องเที่ยว หลีเป๊ะก็จะเละลงเรื่อยๆเช่นกัน คนที่ฟันกำไรจากการขนน้ำ ขนอาหารคือผู้ประกอบการไม่ใช่คนท้องถิ่น” ลุงสิงห์ ทิ้งท้าย

ปัญหาน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภคบนเกาะยังเป็นเรื่องใหญ่ที่ทางการไทยไม่เคยแก้ได้ แม้การท่องเที่ยวจะเติบโตไปมาก แต่คนที่รองรับชะตากรรมจากความล้มเหลวของการบริหารอันดามันแห่งนี้ คือ ชาวเลอูรักลาโว้ยผู้บุกเบิกเกาะหลีเป๊ะ ที่ถูกคุกคามจนตกขอบอันดามันไปหลายครั้ง ความสำเร็จเรื่องนโยบายการท่องเที่ยวจึงไม่ใช่เรื่องน่ายินดี สำหรับเกาะหลีเป๊ะ เพราะคนท้องถิ่นอย่างชาวอูรักลาโว้ยกำลังจะถูกลืม ท่ามกลางกระแสการพัฒา

โดย จารยา บุญมาก

——————