เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2558 ที่ห้องประชุมศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจัดเสวนาโต๊ะกลม หัวข้อ ค้ามนุษย์กับการตีโจทย์ปฎิรูป โดยมี สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง กล่าวเปิดการเสวนาว่า ปัญหาการค้ามนุษย์หรือปัญหาการบังคับใช้แรงงานที่ผิดกฏหมายถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่สื่อและทุกคนต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้สังคมไทยมีความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ร่วมกัน จึงควรนำเสนอข้อเท็จจริงให้กลายเป็นประเด็น เพื่อทำให้ทุกคนมองเห็นว่าปัญหามาจากไหน และที่สำคัญต้องสร้างความเชื่อมั่นให้แก่คนทำงานด้วยว่ากำลังเป็นผู้นำความจริงมาให้แก่สังคมที่กำลังสงสัย เพราะตอนนี้คนที่ออกมาให้ข้อเท็จริงของปัญหากำลังถูกทำให้สังคมมองว่าเป็นคนทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศ ทั้งที่ธุรกิจประมงหรือธุรกิจอาหารทะเลที่ประเทศไทยส่งออกอยู่นั้น ก็มาจากแรงงานเหล่านี้ ดังนั้นเราควรจะมีสำนึกในการรับผิดชอบต่อคนที่มาเป็นแรงงานให้เราด้วย
นายสุริชัย กล่าวต่อว่า แม้ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ระบุชัดได้ทั้งหมดถึงตัวเลขแรงงานที่ตกเป็นเหยื่อ แต่สิ่งที่จะบอกได้ในขณะนี้คือข้อมูลที่ได้จากการสอบปากคำ ซึ่งเป็นข้อเท็จที่ต้องช่วยกันสะท้อนจนกว่ารัฐบาลหรือผู้ประกอบการธุรกิจประมงจะรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ร่วมกัน ในการดูแลแรงงานและแก้ปัญหาอย่างจริงจัง แทนที่คิดแค่ว่าจะแก้ปัญหาแบบขอไปที จึงเป็นเรื่องน่าใจหายที่ผู้ใหญ่ในบ้านเรายังไม่คิดว่าความทุกข์ของพี่น้องเป็นหน้าที่ควรร่วมกันรับผิดชอบ จึงอยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจและช่วยกันแก้ปัญหา

นายสมพงษ์ สระแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) กล่าวว่า กระบวนการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะกรณีคนไทยถูกหลอกไปเป็นแรงงานบนเรือประมงในน่านน้ำประเทศอินโดนีเซีย และถูกเอาเปรียบใช้แรงงานหนักและแรงงานจำนวนมากต้องตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ โดยปี 2557 สามารถช่วยเหลือแรงงานไทยกลับมาได้ 137 คน ในจำนวนนี้บางคนเข้าข่ายการค้ามนุษย์ ซึ่งเราได้พยายามหาหลักฐานจนสามารถนำไปสู่การจับกุมนายหน้าได้ 1 รายแล้ว ส่วนการช่วยเหลือด้านคดีที่มีแรงงานไทยเข้ามาร้องเรียนกับ LPN กว่า 20 รายนั้น เราได้มีการตั้งทีมทนายขึ้นมาเพื่อดำเนินการช่วยเหลือให้ได้รับสิทธิ์ที่พึงมีตามกฏหมาย และการดำเนินคดีทั้ง คดีแรงงาน คดีค้ามนุษย์ และคดีอาญา
“ตอนนี้มีแรงงานที่กลับมาแล้วทยอยไปเจรจากับนายจ้าง 95 ราย ที่สมุทรสาครและสมุทรปราการ ถ้าไปกันเองหรือไปคนเดียวอาจจะถูกคุกคามได้ บางรายเมื่อได้รับเงินค่าจ้างอาจถูกนายจ้างให้ลงชื่อในข้อตกลงเพื่อไม่ให้ดำเนินคดีหรือเรียกร้องสิทธิ์ต่อไป แรงงานบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ เราจึงเข้าไปช่วยเหลือและบอกว่าเขาต้องได้รับสิทธิ์ที่ควรได้ หรือแม้ว่าบางคนจะไม่ใช่เหยื่อค้ามนุษย์ก็ตาม” นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า การที่เราพยายามเข้าไปให้ความช่วยเหลือแรงงาน เพราะยังไม่เชื่อมั่นในการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐ ที่ยังห่วงภาพลักษณ์ของประเทศและเลี่ยงที่จพูดถึงเรื่องแรงงานทาส จึงกังวลหากข้อมูลหรือข้อเท็จจริงได้รับการเปิดเผยออกจะขัดต่อกฎควบคุมการทำประมงที่ผิดกฎหมาย หรือ IUU Fishing และจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ทั้งนี้คณะแรงงานที่ได้รับการช่วยเหลือกลับมารอบล่าสุดจำนวน 68 คน จากการสอบสวนของทางการอินโดนีเซียที่มีทีมสหวิชาชีพร่วมด้วย พบมี 28 คน เป็นเข้าข่ายการค้ามนุษย์ แต่เมื่อทางการไทยสอบสวนแล้วระบุมีเพียง 2 รายเท่านั้น จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลหรือผู้ประกอบการนำความจริงมาพูด ดีกว่าการปกปิดความจริงในเรื่องที่ต่างประเทศรับรู้กันทั่วแล้ว
นายสมพงษ์ กล่าวอีกว่า ยังมีแรงงานลาว กัมพูชา และพม่าอีกเป็นจำนวนมาก ที่ไปทำงานบนเรือประมงไทยและต้องประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับแรงงานไทยที่ตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ แต่แรงงานเหล่านี้กลับไม่ถูกพูดถึงและยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ เราจึงเตรียมประสานหน่วยงานของประเทศต้นทางเพื่อเข้ามาดำเนินการ แต่พบว่ามีอุปสรรคในการพิสูจน์สัญชาติที่ทำได้ยาก เนื่องจากแรงงานส่วนใหญ่ถูกปลอมแปลงเอกสารซีแมนบุ๊ค รวมทั้งประเทศต้นทางส่วนใหญ่มีงบประมาณจำกัดในการให้ความช่วยเหลือ แต่อย่างไรก็ตามในฐานะแรงงานต่างชาติเหล่านี้ถูกหลอกให้ขึ้นเรือของประเทศไทย เราจึงต้องแสดงความรับผิดชอบด้วย
“แรงงานต่างชาติส่วนใหญ่ถูกปลอมแปลงเอกสารประจำตัว ทำให้การตรวจสอบทะเบียนหรือชื่อแทบไม่มีอยู่ในระบบ เจตนาเพื่อให้คนเหล่านี้ไม่มีสถานะบุคคล เพื่อที่หัวหน้าหรือไต๋เรือจะสามารถควบคุมแรงงานให้ทำตามคำสั่ง ไม่กล้าหนี ถือว่าเป็นการใช้แรงงานทาสยุคใหม่” นายสมพงศ์ กล่าว
ส่วนนางสาวปฏิมา ตั้งปรัชญากูล ผู้จัดการ LPN กล่าวว่า จากข้อมูลที่พบในอินโดนีเซีย พบว่ามีแรงงานหลายคนถูกหลอกขึ้นไปเป็นแรงงานประมงตั้งแต่อายุประมาณ 12-14 ปี จนปัจจุบันอายุกว่า 30 ปี ซึ่งเป็นลักษณะการหลอกหลวงที่คล้ายกรณีตกเขียว ที่มีขบวนการหลอกผู้ปกครองว่าจะพาลูกไปทำงาน ซึ่งล่าสุดมีผู้เข้ามาขอความช่วยเหลือให้ตามหาญาติ ซึ่งมีเพียงรูปถ่ายใบสุดท้ายในวัยเด็ก บางคนไปตั้งแต่ยังไม่มีบัตรประชาชน การติดตามจึงทำได้ยาก โดยข้อมูลพบว่าส่วนใหญ่หายตัวไปจากสถานศึกษา ร้านเกมส์ และสนามหลวง โดยถูกต้อนไปโดยนายหน้า บางคนที่ลูกสามารถติดต่อกลับมาที่บ้านได้ จึงทำให้รู้ว่าถูกหลอกไปทำงานในเรือประมง
#########