
เมื่อวันที่ 17 พ.ค.สำนักข่าวต่างประเทศอย่าง BBC รายงานว่า สถานการณ์ผู้อพยพโรฮิงญาเข้าขั้นวิกฤติหนัก เนื่องจากมีเรือลำหนึ่งลอยลำอยู่บนน่านน้ำนอกจากชายฝั่งอินโดนีเซียกำลังอับปางลง แต่โชคดีมีเรือชาวประมงเข้าไปช่วยเหลือได้ทัน หลังได้รับการช่วยเหลือ ชาวโรฮิงญาที่อยู่บนเรือเปิดเผยว่า มีผู้อพยพเสียชีวิตนับร้อยจากการต่อสู้แย่งอาหารกัน เนื่องจากกำลังขาดแคลนอาหารและน้ำอย่างหนัก โดยภายหลังทางการอินโดนีเซียเข้าไปช่วยเหลือ พบชาวโรฮิงญาอยู่บนเรือดังกล่าว 700 คน ทั้งหมดได้รับการช่วยเหลือให้อยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว ในเมืองลังซา จังหวัดอาเจะห์
เรือดังกล่าวได้รับการช่วยเหลือให้ขึ้นฝั่งที่เมืองลังซา อินโดนีเซีย ผู้อพยพชาวโรฮิงญาทั้ง 700 คน โดยผู้อพยพอ้างว่า เรือได้ลอยลำอยู่กลางทะเลนานกว่า 2 เดือน เพราะไม่รู้จะเดินทางไปที่ไหน เนื่องจากก่อนหน้านี้ถูกกองทัพเรือของมาเลเซียผลักดันออกมาจากน่านน้ำมาเลเซีย ขณะที่มาเลเซียเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขา
สำนักข่าว BBC ได้สัมภาษณ์ผู้อพยพ 3 คน ซึ่งเปิดเผยตรงกันว่า ก่อนที่เรือจะอับปางลง คนบนเรือได้ต่อสู้แย่งชิงอาหารกัน มีการฆ่าฟัน จับแขวนคอ หรือถูกโยนลงทะเล เสียชีวิตเกือบ 100 คน หลังได้รับการช่วยเหลือ ทางการอินโดนีเซียต้องแยกผู้อพยพชาวโรฮิงญาและบังกลาเทศออกจากกัน เพื่อป้องกันเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างทั้งสองกลุ่ม
ซาเยด อูสมาน เจ้าหน้าที่ของอินโดนีเซียในเมืองลังซาเปิดเผย ยังเห็นความตึงเครียดระหว่างชาวโรฮิงญาและชาวบังกลาเทศ หลังจากที่ทั้งสองกลุ่มทะเลาะกันบนเรือก่อนหน้านี้ ซึ่งทั้งสองกลุ่มให้ข้อมูลที่แตกต่างกันออกไปเกี่ยวกับการเดินทางไปมาเลเซีย โดยผู้อพยพที่มาจากบังกลาเทศเปิดเผยว่า ต้องการไปมาเลเซียเพราะต้องการไปขายแรงงาน ขณะที่ผู้อพยพจากพม่าระบุต้องการที่จะหนีการถูกกดขี่จากพม่า
“เมื่อวานนี้ ตอนที่ผมเจอพวกเขา พวกเขามีสภาพเหมือนสัตว์ เพราะไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีอะไรติดตัวสักอย่าง ตอนที่ผมทักทายพวกเขาว่า อิสลามาเลกุม พวกเขาถึงกับร้องไห้ พวกเขากำลังหิว ผมได้ยินจากผู้อพยพจากบังกลาเทศบางคนว่า พวกเขาต้องดื่มฉี่ตัวเองเพื่อความอยู่รอด” อิสมาอิล ฮานิฟา ชาวบ้านในเมืองลังซา กล่าว
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ มีผู้อพยพชาวโรฮิงญาและบังกลาเทศได้รับการช่วยเหลือให้ขึ้นฝั่งที่อาเจะห์มากกว่า 1,500 คน นับตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา และมีรายงานว่า เรือผู้อพยพอีก 2 ลำกำลังมุ่งหน้าสู่อินโดนีเซีย และผู้อพยพราว 1,000 คน สามารถขึ้นฝั่งมาเลเซียได้สำเร็จ
ด้านมาเลเซียเปิดเผยว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของตนจะพบหารือกับกับรัฐมนตรีต่างประเทศของอินโดนีเซียและไทยในวันที่ 29 พ.ค.เพื่อหาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาผู้อพยพโรฮิงญา โดยมาเลเซียยังเรียกร้องให้พม่าแสดงความรับผิดชอบสถานการณ์ผู้อพยพเหล่านี้ อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตันจ่อ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของพม่าออกมาเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า พม่าไม่พร้อมที่จะหารือประเด็นเรื่องโรฮิงญา และจะไม่เข้าร่วมประชุมกับชาติอาเซียนหากมีการถกเรื่องโรฮิงญา
ทางด้าน หม่องหม่อง โอง รัฐมนตรีประจำรัฐอาระกัน หรือยะไข่ ออกมาปฏิเสธผู้อพยพที่เดินทางไปมาเลเซียและอินโดนีเซีย ไม่ใช่ผู้อพยพจากรัฐยะไข่ ประเทศพม่า โดยระบุว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยอมรับว่า อาจมีผู้อพยพบางส่วนที่มาจากพม่าแต่ได้ไปทำงานในต่างประเทศ
“หากพวกเขาบอกว่าเป็นชาวโรฮิงญา ก็ไม่ควรบอกว่า พวกเขามาจากพม่าที่เดียว” หม่องหม่อง โอง กล่าว
ขณะที่การกดขี่ชาวโรฮิงญาในพม่ามีให้เห็นมาตั้งแต่ปี 2505 มาจนถึงปัจจุบัน เช่น ทางการไม่อนุญาตให้ชาวโรฮิงญาออกจากหมู่บ้านที่ตัวเองอาศัยอยู่ ไม่อนุญาตให้แต่งงานหากไม่ได้รับอนุญาตจากทางการท้องถิ่น มีรายงานว่า การยื่นขออนุญาตแต่งงานจากทางการอาจต้องรอนานถึง 1-2 ปี บางคู่ต้องแอบแต่งงานกันอย่างลับๆ นอกจากนี้ไม่อนุญาตให้สร้างสุเหร่าหรือแม้แต่ซ่อมแซมสุเหร่า ทางด้านการศึกษา ชาวโรฮิงญาสามารถเรียนจนถึงชั้นมัธยมปลายเท่านั้น และสามารถเรียนได้เฉพาะในรัฐอาระกันเท่านั้น ไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นหมอ ครู หรือรับราชการ การอ่านออกเขียนได้ในชุมชนชาวมุสลิมโรฮิงญาจึงพบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมาก ชาวโรฮิงญายังต้องเผชิญกับจับกุมตามอำเภอใจจากเจ้าหน้าที่ การถูกทำร้ายร่างกาย รีดไถเงิน ทำให้ชาวโรฮิงญาจำนวนมากอพยพไปอยู่ที่บังกลาเทศกว่า 2 แสนคนระหว่างปี 2521 – 2534 ก ระจัดกระจายอยู่ในค่ายนายาพารา ค่ายกูตูปาลอง และค่ายลีดา ในเขตค็อกซ์บาซาร์ของบังกลาเทศ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNHCR ส่วนใหญ่อยู่ในสถานะเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย และอาศัยอยู่ในเพิงเล็กๆ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากไม่แตกต่างจากที่อยู่ในพม่า
ความขัดแย้งทางศาสนาและเชื้อชาติระหว่างชาวพุทธยะไข่และชาวมุสลิมโรฮิงญาในปี 2555 ยิ่งทำให้สถานการณ์ชาวโรฮิงญาเลวร้ายลง หลังเกิดเหตุความขัดแย้ง มีผู้คนจำนวนมากต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่พบเป็นชาวโรฮิงญา มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 200 คน ชาวโรฮิงญาราว 140,000 คน ที่ไร้บ้านถูกเกณฑ์ไปอยู่ในค่ายพักพิงชั่วคราว 40 แห่ง ที่อยู่ในเขตเมืองชิตต่วยและเมืองเจ้าก์ตอว์ มีรายงานว่า มีตัวเลขชาวโรฮิงญาราว 100,000 คน ที่เดินทางออกประเทศ เพื่อหนีการกดขี่และความรุนแรงจากพม่า
ขณะที่สถานการณ์กดขี่และเลือกปฏิบัติต่อชาวมุสลิมโรฮิงญาในรัฐอาระกันล่าสุด นั่นคือ ทางการพม่าเรียกคืนบัตรประจำตัวชั่วคราว หรือบัตรสีขาวคืนจากชาวโรฮิงญาเมื่อเดือนมีนาคมและเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่า มีชาวโรฮิงญาถือบัตรนี้กว่า 6-8 แสนคน ขณะที่ประชากรชาวโรฮิงญาทั้งหมด คาดว่ามีอยู่ราว 800,000 คน ถึง 1.1 ล้านคน ซึ่งการยึดบัตรประจำตัวคืนจะทำให้ชาวโรฮิงญาต้องกลายเป็นคนไร้รัฐและไม่มีเอกสารแสดงตัว การยึดบัตรคืนจากชาวโรฮิงญา มีสาเหตุมาจากเพียงเพราะชาวพุทธยะไข่ออกมาประท้วงและไม่เห็นด้วยที่ทางรัฐสภาพม่าเห็นชอบที่จะให้โรฮิงญาสามารถลงประชามติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ทางการยังกดดันให้พรรคการเมืองต่างๆ ขับชาวโรฮิงญาออกจากพรรคการเมือง ขณะที่การเลือกตั้งเมื่อปี 2553 ชาวโรฮิงญายังพอมีสิทธิ์ที่จะลงประชามติและลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้
ขณะที่ในโลกโซเชียลพม่า มีการถกเถียงเรื่องโรฮิงญาอย่างดุเดือด เช่น ใน Facebook ของสำนักข่าวอิรวดี หรือเพจของพม่าชื่อ Mingalapar ที่มีการแชร์ข่าวของผู้อพยพโรฮิงญา ซึ่งชาวพม่าจำนวนมากได้เข้ามาแสดงความคิด แต่ส่วนใหญ่เป็นไปในด้านลบต่อชาวโรฮิงญา เช่น กล่าวว่า “ชาวโรฮิงญาก่อปัญหามากมายในพม่า ไม่ต่างจากกลุ่มก่อการร้าย ISIS” ชาวพม่าส่วนใหญ่ยังแสดงความคิดเห็นสนับสนุนจุดยืนของรัฐบาลพม่าที่ไม่ยอมรับชาวโรฮิงญา โดยกล่าวว่ารัฐบาลพม่านั้นทำถูกต้องแล้ว อย่างไรก็ตามชาวพม่าบางส่วนแสดงความเห็นใจต่อชาวโรฮิงญา ขณะที่สื่อพม่าต้องนำเสนอข่าวเกี่ยวกับประเด็นโรฮิงญาอย่างระมัดระวัง เพราะอาจสร้างไม่พอใจจากชาวพม่าชาตินิยม
ข้อมูลจาก BBC/The guardian/RFA/
รายงาน Brefing Burma,visit to the Bangladesh-Burma border by Christian Solidarity Worldwide