Search

จัดกิจกรรมต้านสัมปทานเหมืองทองคึกคัก คนกรุงร่วมลงชื่อ-เนินมะปรางปั่นจักรยานรณรงค์ หวั่นภาคเกษตรล่มสลายเหมือนบางพื้นที่ 3 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง

received_974476869262265

เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2558 เวลา 11.30 น. ที่บริเวณปากทางเข้าสำนักงานสันติอโศก กรุงเทพฯ เครือข่ายคัดค้านการให้สัมปทานเหมืองทองคำ ได้จัดกิจกรรมร่วมกันลงชื่อคัดค้านนโยบายเปิดเหมืองทองคำ 300 แปลงใน 12 จังหวัด (พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ลพบุรี เลย นครสวรรค์ สระบุรี ระยอง จันทบุรี สุราษฎร์ธานี สระแก้ว และสตูล) อย่างไรก็ตามได้มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนาย เข้าสั่งการให้ภาคประชาชนยุติกิจกรรมการลงชื่อคัดค้านนโยบายดังกล่าว หลังจากภาคประชาชนทยอยลงชื่อตั้งแต่เวลา 08.00 น. โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่า การจัดกิจกรรมดังกล่าวขัดต่อกฎหมายตามมาตรา 44 และยืนยันว่า หากจะมีการจัดกิจกรรมลักษณะเดียวกันจะต้องส่งรายชื่อผู้เข้าร่วม พร้อมอธิบายรูปแบบกิจกรรมโดยละเอียด

“เราเจอตำรวจมาสกัดแผนทำงานก่อน แต่ก็ไม่เป็นไร พวกเราลงชื่อได้มากกว่า 300 ชื่อแล้ว หลังจากนี้จะส่งรายชื่อทั้งหมดเข้าร่วมกับเครือข่ายจังหวัดพิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ บรรยากาศโดยรวมถือว่าน่ายินดีที่คนกรุงเทพฯ เข้าใจสถานการณ์เหมืองทองมากขึ้น และเชื่อว่า หากเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีนี้ จะเกิดเครือข่ายพลเมืองไทยไม่เอาเหมืองทองผุดขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละจังหวัดจะทยอยลงนามต่อเนื่อง“ แกนนำจัดกิจกรรมครั้งนี้รายหนึ่ง กล่าว

ด้านนางอารมณ์ คำจริง ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบการกิจการเหมืองแร่ทองคำ 3 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง (พิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก) และแกนนำกลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมเนินมะปราง กล่าวว่า ขณะนี้ชาวบ้านรอบเหมืองทองคำของบริษัทอัครา รีสอร์ทเซส ได้ร่วมกันลงนามคัดค้านการสัมปทานเหมืองทองคำ แล้วประมาณ 14,000 รายชื่อ ซึ่งฝ่ายสนับสนุนเหมืองก็เริ่มมีท่าทีในการล่ารายชื่อแบบเดียวกันเพื่อส่งเสริมนโยบายการสัมปทานเหมืองแร่ทองคำเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ทางชาวบ้านที่เคยมีบทเรียนที่ได้รับผลกระทบ กำลังดำเนินการคัดค้านต่อสู้ในทุกๆ ทางเพื่อหยุดนโยบายนี้ ที่ผ่านมาได้ดำเนินการคัดค้านการสำรวจและการให้สัมปทานเหมืองแร่ทองคำมาแล้วทุกที่ ทั้งการยื่นหนังสือต่อกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แต่ก็ไม่เห็นผล โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ยังคงดำเนินการทำร่างนโยบายการสำรวจและการทำเหมืองแร่ทองคำ ที่เราทราบมาว่าได้ดำเนินการรับฟังความเห็นจากภาคราชการและเอกชนมาแล้ว และครั้งนี้จะมาเปิดรับฟังความเห็นจากภาคประชาชน ที่ดูเหมือนจะทำเป็นพิธีการ เพราะดูจากพื้นที่ที่มีการขออนุญาตอาญาบัตรพิเศษทำแร่ทองคำครอบคลุมพื้นที่ 12 จังหวัด มีทั้งพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ มีประชาชนจำนวนมากยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้อย่างชัดเจน ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนต้องแสดงพลังเพื่อให้ได้มาซึ่งรูปแบบการจัดเวทีที่ถูกต้อง เป็นธรรม

“เหตุผลที่เราต้องออกมาคัดค้าน เพราะจากบทเรียนผลกระทบต่อการทำเหมืองทองคำที่พิจิตร ทั้งสภาพแวดล้อม ประชาชน ยังไม่ได้รับการแก้ไข คนใน 3 จังหวัดภาคเหนือตอนล่างทำเกษตรมานาน เป็นอันพังทลายไปหมดเพราะกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่ม อย่างที่ อำเภอเนินมะปราง ปลูกไม้ผล เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ และสายพันธุ์ต่างๆ ไม้ผลอีกหลากชนิด นาข้าว ทุกอย่างเป็นมรดกอย่างยั่งยืน ถ้าพัฒนาเป็นพืชเศรษฐกิจแล้วส่งขายต่างประเทศ เกษตรกรก็ไม่อดตาย หรืออย่างข้าว ในอนาคตถ้าคนทั่วประเทศเขารู้ว่าข้าวมาจากพื้นที่ทำเหมือง เขารู้มีสารปนเปื้อน แล้วคนในพื้นที่ที่ทำนา จะเอาอะไรเลี้ยงชีพ ยังไงก็ต้องคัดค้านให้ถึงที่สุด เราไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เราอยากให้รัฐให้ความสำคัญกับคนที่ทำนา ทำไร่บ้าง ไม่ใช่เลือกแค่อุตสาหกรรม แล้วเกษตรกรรมปล่อยตาย วันนี้อยากขอบคุณคนกรุงเทพฯ ที่เข้าใจเรา และเชื่อว่าถ้าร่วมมือกันต่อไป จะสามารถหยุดเหมืองสกปรกได้ ต่อไปก็เหลือแต่ฟื้นฟูชุมชน รักษาอาการของคนป่วยต่อไป ไม่ให้มีใครเจ็บ ตายจากสารโลหะหนักอีก” นางอารมณ์ กล่าว

แกนนำกลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมเนินมะปราง กล่าวต่อว่า นอกจากกิจกรรมการลงชื่อคัดค้านในพื้นที่แล้ว ในวันเดียวกันนี้ทางเครือข่ายประชาชนยังจัดกิจกรรมร่วมปั่นจักรยาน เพื่อประชาสัมพันธ์ให้คนร่วมคัดค้านเหมืองทองด้วย โดยมีคนเข้าร่วมปั่นจักรยานประมาณ 300 คน เริ่มต้นจากโรงเรียนวังโพรง อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ถึงเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบ้านมุง จังหวัดพิษณุโลก ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร โดยทางเครือข่ายจะนำรายชื่อยื่นให้ประธานกรรมาธิการสภาเกษตรกรแห่งชาติจังหวัดพิษณุโลก วันอังคารที่ 15 กันยายน นี้

อนึ่ง ยังมีเครือข่ายนักศึกษาและประชาชนหลายพื้นที่ ทยอยลงนามคัดค้านนโยบายเปิดเหมืองแร่ทองคำ เช่น ในวันที่ 14 กันยายน นักศึกษาหลายกลุ่มเตรียมจัดกิจกรรม “ลงชื่อคัดค้านนโยบายเหมืองแร่ทองคำ 12 จังหวัด” ระหว่างเวลา 9.00-16.00 น. ที่ตึก 9 หอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยรังสิต ถนนวิภาวดีรังสิต

———–