Search

วิเคราะห์แผนจีนบุกรัฐฉาน : มรดกเก่ายุคพรรคคอมมิวนิสต์พม่า กับสถานการณ์ที่ยากลำบากของไทย

รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช
นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา อาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา

คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

การแผ่อิทธิพลและอำนาจของจีนในพม่า สามารถวิเคราะห์ได้หลายแนวทาง พอทราบกันดีว่า ในห้วงสงครามเย็น จีนให้ความสำคัญต่อรัฐฉานในเชิงยุทธศาสตร์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการสร้างรัฐกันชน (Buffer State) ผ่านแผนสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (Communist Party of Burma/CPB) และกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่มีฐานที่มั่นอยู่ตามตะเข็บพรมแดนจีน-พม่า   

ในห้วงปัจจุบันนี้ แสนยานุภาพของจีนทั้งในแง่ยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจและวัฒนธรรม แผ่ปกเคลื่อนขยายเข้าไปในรัฐฉานแบบเข้มข้นลึกซึ้งขึ้นเช่นกัน จึงน่าวิเคราะห์ต่อว่า ศักดานุภาพของจีนสัมพันธ์กับรากฐานอำนาจเก่าที่พรรคคอมมิวนิสต์พม่า(ซึ่งได้รับการหนุนจากจีน) เคยแฝงฝังอิทธิพลลงไปในรัฐฉานก่อนหน้านี้หรือไม่ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง จะส่งผลกระทบต่อรัฐไทยในเชิงยุทธศาสตร์อย่างไร

พรรคคอมมิวนิสต์พม่า (CPB) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีอายุเก่าแก่ราว 50 ปี (นับแต่การก่อตั้งพรรคเมื่อปี ค.ศ. 1939 ไปจนถึงการล่มสลายเมื่อปี ค.ศ. 1989 ) พรรคเคยก่อการต่อต้านจู่โจมสู้รบกับรัฐบาลพม่า โดยมีฐานอำนาจเข้มข้นอยู่ที่รัฐฉาน

กลุ่มว้าและโกก้างก็เคยเป็นฐานกำลังหลักให้กับCPB จนกระทั่งพรรคล่มสลายลงจึงเกิดการเปลี่ยนดุลอำนาจทางการเมืองการทหารในรัฐฉาน หากแต่อิทธิพลของจีนที่มีต่อกองกำลังชาติพันธุ์เหล่านี้ (ซึ่งเคยมีสายสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์พม่า)ยังดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นการขยายอำนาจของจีนในปัจจุบัน จึงน่าจะเป็นกลยุทธ์ต่อยอด (Layering Strategy) ที่จีนมุ่งเสริมสร้างอิทธิพลครอบทับหรือตอกฝังลงไปบนฐานอำนาจเดิมของพรรคคอมมิวนิสต์พม่าที่เคยขยายกำลังเข้าไปปกคลุมรัฐฉานมาก่อน

มีหลักฐานและแนววิเคราะห์อย่างน้อย 2 ส่วนที่น่าจะทำให้เรื่องนี้ชัดเจนขึ้นบ้าง

1. ในแผนที่ต้นฉบับที่จัดทำโดยทีมผลิตแผนที่ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) พบร่องรอยอิทธิพลของจีนผ่านพรรคคอมมิวนิสต์พม่าที่มีลักษณะแผ่ขยายเขตควบคุมของพรรคเข้าไปในพื้นที่กองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์หลากหลายกลุ่ม โดยผู้เขียน (รศ.ดร.ดุลยภาค) วิเคราะห์พื้นที่ที่น่าสนใจออกเป็น 8 อาณาบริเวณหลัก ดังนี้

หมายเลข 1 คือ พื้นที่ปกครองโกก้าง ติดชายแดนจีน เป็นฐานอำนาจกองกำลัง MNDAA เคยเป็นฐานเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (CPB) มาก่อน

หมายเลข 2 คือ พื้นที่ปกครองว้าเหนือ ติดชายแดนจีน เป็นฐานอำนาจของกองกำลัง UWSA มหาอำนาจในกลุ่มพันธมิตรฝ่ายเหนือ (Northern Alliance) ซึ่งพื้นที่นี้เคยเป็นฐานเคลื่อนไหวของ CPB มาก่อน โดยเฉพาะกองบัญชาการใหญ่ของพรรคที่ปางซาง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกองบัญชาการหลักและศูนย์อำนาจของว้าแดงทั้งพรรค (UWSP) และกองทัพ (UWSA)

หมายเลข 3 คือ พื้นที่ปกครองเมืองลา ติดชายแดนจีน ก็รับอิทธิพลจาก CPB เช่นกัน

หมายเลข 4 คือ พื้นที่ปกครองว้าใต้ที่เคลื่อนมาติดชายแดนไทย สะท้อนอิทธิพลจีนผ่านคอนเน็กชั่นกับว้าซึ่งเข้ามาประชิดชายแดนไทยแบบเข้มข้นเรื่อยๆ โดยแบ่งกำลังและมวลชนลงมาจากเขตว้าเหนือแถบปางซางซึ่งรับอิทธิพลที่เข้มข้นจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่าและจีน

หมายเลข 5 คือ ร่องรอยอิทธิพล CPB ที่ต่อติดกับฐานอำนาจของกองทัพปะหล่อง TNLA และกองทัพของคะฉิ่น KIA

หมายเลข 6 คือ ฐานอำนาจกองกำลังไทใหญ่ฝ่ายเหนือ SSPP ซึ่งรับอิทธิพลทางการเมืองการทหารจาก CPB ในยุคสงครามเย็น

หมายเลข 7 คือ ร่องรอยอิทธิพล CPB ที่กินลึกเข้าไปถึงพื้นที่รอยต่อระหว่างเมืองตองจีกับเมเมียว ที่ตั้งโรงเรียนนายร้อยของกองทัพพม่า

หมายเลข 8 คือ ร่องรอยอิทธิพล CPB ที่แผ่ลึกเข้าไปในเขตกองกำลังปะโอ จนก่อเกิดเป็นฐานเคลื่อนไหวของกลุ่มปะโอแดง

เมื่อพิจารณาจากพื้นที่ทั้ง 8 จุด จะพบว่าอิทธิพลจีนที่แผ่ผ่านกระบวนการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์พม่า ได้เคลื่อนขยายไปทั่วภาคพื้นรัฐฉาน ถึงแม้อิทธิพลจีนในปัจจุบันจะมีจุดเข้มข้นอยู่ที่รัฐฉานเหนือ ตลอดจนพื้นที่ที่แผ่ทอดลงมาจากเขตโกก้าง เขตว้าและเมืองลาซึ่งเลียบเลาะตะเข็บชายแดนจีน หากแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พื้นที่ตอนกลางและตอนใต้ของรัฐฉาน ทั้งเขตอำนาจไทใหญ่ SSPP เขตเชื่อมต่อตองจีไปเมเมียวและเขตเลียบตะเข็บชายแดนไทยภาคเหนือ ถือเป็นพื้นที่ที่มีร่องรอยอิทธิพลจีนหรือมีคอนเน็กชั่นเชื่อมต่อกับจีนอย่างมีนัยสำคัญ

2. ในหนังสือของ Bertil Lintner เรื่อง The Rise and Fall of the Communist Party of Burma (CPB) ตีพิมพ์โดย Cornell University Press ในปี ค.ศ.1990 มีการนำเสนอข้อมูลและแผนที่ยุทธศาสตร์เกี่ยวกับเขตอิทธิพลพร้อมฐานที่มั่นทางทหารของพรรคคอมมิวนิสต์พม่าซึ่งแผ่กระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ เช่น รัฐคะฉิ่น ดินแดนว้าเหนือ ดินแดนพิเศษปางซาง ดินแดนเหนือเมืองเชียงตุง และดินแดนติดแนวแม่น้ำโขง Bertile Lintner นำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเขตว้าแดงที่ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์อันหลากหลายทั้งว้า ไทใหญ่ ละหู่ จีน คะฉิ่นและพม่า ภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขามากกว่าหุบเขา และมีการจัดตั้งหน่วยทหารแยกย่อยที่รวมกำลังพลได้ถึงหลายพันนาย นอกจากนั้น ยังมีแผนที่แสดงอาณาเขตว้าในยุคสงครามเย็นที่ถูกห้อมล้อมด้วยฐานทหารไทใหญ่ (SSA) ฐานกำลังขุนส่า และฐานทหารจากกองทัพบกพม่า หากแต่บริเวณที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ของเขตว้าที่ขยับจากชายแดนจีนไปจนจรดฝั่งแม่น้ำสาละวิน ล้วนตกอยู่ใต้การบริหารควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์พม่าที่รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิส์จีนอีกต่อหนึ่ง

แผนที่แสดงบริเวณว้าในยุคสงครามเย็นที่ตกอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์พม่าเป็นหลักโดยพรรคมีศูนย์อำนาจหลักอยู่ที่ปางซางและได้ควบคุมหัวเมืองสำคัญของรัฐฉานทางฟากตะวันออกของแม่น้ำสาละวินรวมถึงอาณาบริเวณตอนเหนือของเชียงตุง
ที่มา: The Rise and Fall of the Communist Party of Burma (CPB), หน้า 89.

จากหลักฐานทั้งสองชิ้นที่นำแสดงมา จึงพอมีน้ำหนักอยู่บ้างหากจะกล่าวว่าพลังอำนาจของจีนที่เข้มข้นในรัฐฉาน ส่วนหนึ่งเกิดจากการต่อยอดขยายผลมาจากฐานอำนาจเดิมของพรรคคอมมิวนิสต์พม่าที่ได้รับการสนับสนุนจากจีนในห้วงสงครามเย็นและเคยพวยพุ่งเข้าไปในฐานที่มั่นของกองกำลังชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น กลุ่มว้าแดง

สำหรับประเทศไทยแล้ว คงต้องยอมรับความจริงว่าจีนมีพลังแผ่ปกไปทั่วรัฐฉานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรัฐฉานเหนือ รัฐฉานฝั่งตะวันออก-ตะวันตกของแม่น้ำสาละวิน และรัฐฉานภาคสามเหลี่ยมทองคำ และไม่เว้นแม้กระทั่งรัฐฉานใต้ ในพื้นที่รัฐฉานใต้ที่ประชิดติดเขตชายแดนไทยด้านจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน ต่างก็เคยเป็นเขตอิทธิพลเก่าของกองกำลังขุนส่าและนายพลโมเฮงของไทใหญ่มาก่อนซึ่งต่างก็มีสายสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์กับไทยในกรอบรัฐกันชนยุคสงครามเย็น หากแต่การเคลื่อนลงใต้ของว้าแดงซึ่งมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับจีนแดงนั้น ได้เคลื่อนกระทบลงมาเป็นระลอกแบบต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนจนกลบร่องรอยอิทธิพลเดิมของไทยและไทใหญ่ และทำให้อาณาบริเวณแถบนี้แปลงสภาพเป็นเขตอำนาจของว้า/จีนที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

การทำเหมืองแร่ในรัฐฉานใต้ที่ก่อมลพิษต่อแม่น้ำกก แม่น้ำสาย จนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของชาวเชียงราย ส่วนหนึ่งย่อมเกิดจากฐานอำนาจเดิมของพรรคคอมมิวนิสต์พม่าที่มีกำลังแฝงฝังไปทั่วภาคพื้นรัฐฉาน โดยเมื่อยุทธศาสตร์การเคลื่อนลงใต้ของว้าแดงเข้ามาผสมผสานกับยุทธศาสตร์มองลงใต้ของจีน แล้วเคลื่อนมาเชื่อมประกบต่อยอดจากเขตอิทธิพลเดิมของพรรคที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ พลังของจีนและว้าที่เรืองอำนาจขึ้นในลักษณะที่ผกผันกับขีดอำนาจที่ลดลงของไทยและไทใหญ่

ไทใหญ่ฝ่ายใต้ (RCSS/SSA) เคยสวมทับแทนที่เขตอิทธิพลของขุนส่าและกุมอำนาจในรัฐฉานใต้ แต่มาวันนี้ จำต้องถ่วงดุลกับว้าและยอมรับอำนาจจีนที่เพิ่มขึ้น ส่วนประเทศไทยเคยปกครองรัฐฉานใต้แบบรัฐชาติสมัยใหม่ในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อครั้งที่รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม สั่งกองทัพพายัพยกพลขึ้นเหนือผนวกดินแดนบางส่วนของรัฐฉานเข้ามาเป็นจังหวัดหนึ่งของไทยที่เรียกกันว่า “สหรัฐไทยเดิม” เป็นมรดกประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่สองที่เกิดขึ้นก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์พม่าจะเรืองอำนาจในรัฐฉานยุคสงครามเย็นเสียอีก

ทว่า มาบัดนี้ จีนและว้าได้เดินกลยุทธ์ต่อยอด ทำตามเส้นทางบังคับทางประวัติศาสตร์ด้วยการขยายอำนาจแบบเติมต่อขยายผลออกมาจากร่องรอยเดิมของพรรคคอมมิวนิสต์พม่าในอดีต แต่ไทยและไทใหญ่ กลับไม่เดินตามเส้นทางบังคับทางประวัติศาสตร์ จึงต้องตั้งรับเป็นหลักและย่อมอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากขึ้น (หากไม่มีการปรับยุทธศาสตร์ยุทธวิธีในการแผ่พลังขึ้นเหนือหรือไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆในการกำหนดเกมต่อรองอำนาจกับปักกิ่งและปางซาง)