Search

พลัดเขตแดนแต่ไม่สูญรากเหง้า สำรวจคนไทยในเมืองสิงขร บนผืนดินที่ถูกแยกในยุคนักล่าอาณานิคม

โดย ทีมข่าวชายขอบ

เที่ยงวันกลางฤดูฝนของแม่ทอง เจริญสุข หรือชื่อตามบัตรประชาชนพม่าว่า “เมมิต” วัย 56 ปี ยังคงยุ่งอยู่กับงานสวนผลไม้และสวนหมากที่เชื่อมต่อระหว่างชุมชนสิงขรเก่ากับชุมชนสิงขรใหม่ อำเภอตะนาวศรี จังหวัดมะริด ภาคตะนาวศรี ประเทศพม่า ถัดจากสวนหมากของแม่ทองไม่ไกลนักเป็นพื้นที่วัดสิงขรเก่า มีทั้งโบสถ์ กุฏิพระสงฆ์ ที่แม้จะมีซากปรักหักพัง ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่ชาวบ้านยังคงแวะเวียนทำความสะอาด แผ้วถางหญ้ารอบๆ เพื่ออนุรักษ์ไว้เป็นโบราณสถานประจำชุมชน

แม่ทองเองยังต้องแบ่งเวลาจากงานบ้าน งานสวนเพื่อเข้าไปดูแลโบราณสถานเป็นบางครั้งเช่นเดียวกับคนไทยสิงขร หรือคนพม่าเชื้อสายไทยอีกกว่า 90 ครอบครัวที่ยังคงศรัทธาในพระพุทธศาสนา แม้วันนี้จะมีวัดใหม่และมีพระพม่ามาบวชประจำที่วัดก็ตาม แต่พวกเขาไม่ได้ละทิ้งประวัติศาสตร์ชุมชนแม้แต่น้อย

14139251_601126556714909_688863669_o
สภาพวัดสิงขรเก่า

“เรามันชาวพุทธ ให้ทิ้งวัดร้างไปเลยก็ไม่ได้หรอก ยังดูๆกันอยู่ เมื่อก่อนคนไทยแถบนี้เราอยู่ติดแม่น้ำสิงขรกันนะ แต่หลังๆ น้ำท่วม แล้วรัฐบาลท้องถิ่นเองเขาก็อยากจะจัดระเบียบก็ค่อยๆหารือกันเพื่อย้ายเข้ามาอยู่ติดถนนใหญ่ที่พวกญี่ปุ่นตัดผ่าน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ยังอยู่ดีกินดีไม่ได้ลำบากอะไร ไม่เหมือนเมื่อก่อน คนไทยอยู่ยาก ไปไหนไม่ได้เลย พม่าจะไล่เอา เราไม่หนี เราหลบเฉยๆ ได้วัดใหม่มาแล้วสบายใจแล้ว ทำบุญกันไปตามประสา แต่วัดเก่าก็ดูแล มันร้างก็ต้องดูแล” แม่ทองอธิบาย

ที่แม่ทองพูดถึงพม่าจะไล่นั้น เป็นยุคที่รัฐบาลทหารครองเมือง ทำให้เกิดการต่อสู้กับกองกำลังชนกลุ่มน้อยตามเขตแดนต่างๆ เพราะประเทศพม่าประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆมากมาย แต่เนื่องจากการสู้รบอันยาวนานและสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งใหญ่โดยทหารพม่าได้กวาดต้อนชาวบ้านมาช่วยแบกข้าวของ หากไม่ยอมจะถูกยิง แถมมีการบังคับขืนใจเกิดขึ้นมากมาย

14163773_601126606714904_465904858_o
สภาพวัดสิงขรเก่า

แรกเริ่มเดิมทีทีมข่าวจากสำนักข่าวชายพร้อมเพื่อนๆนักข่าวไทยอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงศิลปินและนักเขียน ตั้งใจเดินทางมาสืบหาข้อเท็จจริงของคนไทยพลัดถิ่น ซึ่งเป็นคนไทยติดแผ่นดินในฝั่งพม่าภายหลังจากไทยเสียดินแดนให้กับนักล่าอาณานิคม แต่จากการพูดคุยถึงประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของคนแผ่นดินสิงขร คำว่า “คนไทยพลัดถิ่น” ไม่อาจเป็นคำที่เหมาะสมนัก เพราะพวกเขาจำนวนมากเลือกจะอยู่กับหลังการปักกันเขตแดนระหว่างอาณานิคมอังกฤษกับประเทศไทยในราวปี 2411

ปัจจุบันคนไทยในพม่ามีชีวิตที่ค่อนข้างแตกต่างกันจากไทยพลัดถิ่นฝั่งเขตแดนไทยอย่างมาก เพราะจากการสำรวจหมู่บ้าน พบว่าแทบทุกครัวเรือนต่างมีที่ดินทำกิน และที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ขณะที่คนไทยพลัดถิ่นหลายคนในประเทศไทยยังต้องขายแรงงาน และถูกจำกัดสิทธิหลายด้าน เช่น การศึกษา สวัสดิการในหน้าที่การงาน ฯลฯ เนื่องจากสังคมไทยมักมองแบบเหมารวมว่าพวกเขาคือพม่าหนีเข้าเมือง ทั้งที่ภาษาและวัฒนธรรมไทยที่มีติดตัวเป็นหลักฐานสำคัญชี้ชัดว่าพวกเขามีสายเลือดไทย แม้ระยะหลังจะมีการแก้ไขกฎหมายสัญชาติเพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยที่ตกค้างอยู่ในพม่าได้มีโอกาสเปลี่ยนเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ แต่ขั้นตอนและกระบวนการพิจารณายังเป็นไปอย่างเชื่องช้า ทำให้คนกลุ่มนี้อีกนับหมื่นยังคงทนทุกข์ทรมาน

14191596_601129383381293_1212338025_o
แม่ทอง กับกระท่อมพักผ่อนกลางสวนหมาก

แม่ทองบอกด้วยว่าแม้พม่ากับไทยจะแบ่งประเทศกันแล้ว แต่สำหรับคนไทยทั้ง 2 ประเทศยังไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงไปมาหาสู่กันเสมอโดยเฉพาะคนบ้านสิงขรกับคนภาคใต้ของไทย และบางครอบครัวเมื่อถึงเทศกาลเช่นเข้าพรรษา ปีใหม่ ฯลฯ คนทั้ง 2ประเทศยังคงแวะไปเยี่ยมญาติอยู่บ้าง บางคนบวชอยู่วัดไทยแล้วสึกกลับมาพม่า ระยะหลังฝ่ายความมั่นคงเริ่มเข้มงวดขึ้น คนไทยทั้งสองแห่งจึงต้องเว้นช่วงในการเดินทางและเมื่อมีการเปิดด่านสิงขร ที่จังหวัดประจวบฯอย่างเป็นทางการจึงทำให้ความสัมพันธ์เริ่มกลับมาเป็นปกติ แต่มีเวลาจำกัดในการเดินทางเท่านั้น

“ดีใจจังนะมีคนไทยแวะมาเยี่ยมพวกเราที่หมู่บ้านกันบ่อยช่วงนี้ มีเพื่อนบ้านเก่า ตอนนี้อยู่ระนอง ฝั่งไทยมีบัตรประชาชนไทย แต่เขามีสวนหมากฝากฉันดูแลตั้ง 5 เอเคอร์ เขาก็มาหาบ้างบอกว่าอยู่ฝั่งไทยก็ไม่สบายหรอกเพราะต้องเป็นลูกจ้างแต่จะกลับมาอยู่นี่ก็ไม่ทันแล้ว มาเยี่ยมพอแล้ว สวนเขาก็ยังอยู่ดี ไม่หายไปไหน ที่นี่พวกเราไม่มีโฉนดที่ดินเหมือนที่ไทยหรอก แต่เราครอบครองที่ดินได้ ฉันมี 8 เอเคอร์ ปลูกทุเรียน มังคุด และหมาก ปีนี้แล้งหนักขายผลไม้ไม่ค่อยได้ ก็ขายหมากแทนได้เงินมาส่งลูกเรียน แบ่งไว้เป็นค่าใช้จ่ายเยอะแยะไปหมด ถ้าเดือนสองเดือนนี้งานไม่เยอะจะไปหาญาติที่อพยพไปอยู่ฝั่งไทยเช่นกัน รอฝนหยุดก่อนจะได้เดินทางง่ายขึ้น” แม่ทองเล่าถึงการเดินทางข้ามกันไป-มาของพวกเขาซึ่งเป็นวิถีดั้งเดิมที่ดำเนินมาตั้งแต่คำว่าเส้นเขตแดนยังไม่เป็นที่รู้จัก

ซากข้าวของเครื่องใช้บริเวณวัดสิงขรเก่า

การเดินทางของพวกเราครั้งนี้ยังได้มีโอกาสแวะทานอาหารพื้นบ้านฝีมือป้าเลียบ เจริญสุข อายุ 73 ปี ซึ่งมีรสชาติอร่อยเช่นเดียวกับอาหารปักษ์ใต้ทั่วๆป โดยป้าเลียบบอกว่านอกจากบ้านสิงขรแล้ว ยังมีอีกหลายหมู่บ้านที่คนไทย เลือดไทยแท้ที่ยังปักหลักอาศัยอยู่ เช่น แหลมญวน ทองหลาง ลำเท็ง ซึ่งพม่าเขาจะเรียกว่าหมู่บ้านคนไทยเดิมมักจะอยู่ติดแม่น้ำ แต่ทางการพม่ามาจัดระเบียบชุมชนใหม่ แรกๆไม่มีใครสื่อสารภาษาพม่าได้เลย แต่พอจัดหมู่บ้านใหม่ก็มีพม่าเข้ามาอยู่ผสม-ผสานกัน มีการก่อตั้งโรงเรียนสอนภาษาพม่า คนไทยจึงเริ่มปรับตัวทำให้ปัจจุบันพูดได้สองภาษา คือ ภาษาไทยสำเนียงภาคใต้และภาษาพม่า

“เดิมทีพ่อแม่ป้ามีบ้านสวนฝั่งไทยเลย และที่ดินตรงบ้านสิงขรตรงนี้เดิมก็เป็นของไทย พ่อแม่ของป้าก็อยู่นี่ สบายๆ แต่พอเขาแบ่งแผ่นดินใหม่ คนพม่าก็มาอยู่ ป้าใช้เวลานานมากหลายสิบปี กว่าจะคุยกับพม่ารู้เรื่อง ตอนนี้สบายแล้ว” ป้าเลียบ ย้อนอดีตสั้นๆ

หลักฐานอีกอย่างที่สะท้อนว่าป้าเลียบมีหัวใจเป็นคนไทย คือ ภายในบ้านมีรูปในหลวงและพระราชินี ติดตั้งไว้คู่กับหิ้งพระ ซึ่งป้าเลียบยืนยันว่าคนไทยในตะนาวศรีมีความรักและภักดีกับแผ่นดินไทยเสมอ แม้ปัจจุบันมีที่ดินทำกินอย่างพอเพียงและต้องอาศัยอยู่ใต้การปกครองของพม่าก็ตาม แต่ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกเป็นคนไทยลดน้อยลง

14151749_601128793381352_1819128000_o
วัดสิงขรใหม่

กว่าที่ชุมชนสิงขรใหม่จะผ่านช่วงเวลาการจัดระเบียบใหม่ภายใต้รัฐบาลพม่าได้ เส้นทางชีวิตของพวกเขาเคยถูกกดขี่มาไม่น้อย “พ่อเชิด จิตไทย” ในวัย 52 ระบุว่าช่วงแรกที่มีการจัดระเบียบหมู่บ้านราวปี 2545 นั้นคนไทยสิงขรกลัวว่าลูกหลานจะลืมภาษาไทย และลืมประเพณี วัฒนธรรมด้านอื่น จึงจัดพื้นที่วัดให้มีการเรียน การสอนเพื่อการสืบทอดวัฒนธรรมไทย ช่วงนั้นเน้นหนักที่การเรียนภาษา โดยมีพระสงฆ์เป็นครูแต่ทหารพม่ากลับไม่พอใจในการจัดตั้งจึงพยายามห้าม พร้อมทั้งสั่งปิดหลักสูตรการสอนและบังคับให้คนไทยสิงขรใช้ภาษาพม่าสื่อสารกันเป็นทางการ

“ตัวผมเองไม่ได้ปฏิเสธการปกครองของพม่า แต่เรายังมีเชื้อไทย เราอยากให้เขายอมรับ และรู้ว่าพวกผมต้องการรักษาภาษา ประเพณีของเราไว้ แต่ผมไม่กล้าหวังว่าวันหนึ่งรุ่นลูกหลานจะลืมหรือเปล่า ผมมีลูกอยู่ 5 คนทำสวน ทำไร่กัน บางคนอ่านไทยไม่คล่องเลย ผมก็ห่วงอยู่นะ เพราะเรายังมีญาติอยู่ฝั่งไทยเยอะ หากวันหนึ่งกลับไปไทย แล้วลืมภาษาพ่อแม่ น่าอายเหมือนกัน 20 กว่าวันก่อนผมไปงานศพที่ฝั่งไทยมา คนไทยฝั่งนั้นบอกว่าพวกเขาก็มีปัญหาเรื่องการเดินทางไม่น้อย บางคนไม่มีบัตรจะสมัครงาน สมัครเรียนก็ยาก ผมฟังแล้วเห็นใจนะ แต่เปลี่ยนอะไรไม่ได้บอกกับเขาว่าถ้ามีโอกาสมาที่สิงขรก็จะดูแลต้อนรับอย่างดีเพราะยังไงเราก็เป็นคนไทยเช่นกัน ต่อให้คุณเรียกเขาว่าคนไทยพลัดถิ่นก็เถอะ แต่ที่นี่เราไม่มีแบบนั้น เราไม่ได้แบ่งแผ่นดินกันเองนะ คนอื่นมาแบ่งเรา” พ่อเชิดบอกถึงความรู้สึกลึกๆ ที่ต้องเป็นคนไทยในพม่า

14151739_10209511580842325_1795059358_o
บรรยากาศในชุมชนสิงขร

อีกประเด็นที่พ่อเชิดรู้สึกกังวลเกี่ยวกับโครงการพัฒนาของพม่า คือ การเกิดขึ้นของชุมชนใหม่ที่ต้องทำลายป่าไม้ พ่อเชิดจำได้ว่าราว 20 ปีก่อน ชุมชนสิงขรเคยมีป่าทึบล้อมรอบ มีต้นไม้สำคัญอย่างเช่น ไม้ตะเคียน ไม้พะยอม ฯลฯ ซึ่งในอดีตชาวบ้านมีสิทธิตัดมาพอจะสร้างบ้าน สร้างวัด แต่ระยะหลังทรัพยากรสิ่งแวดล้อมในแถบตะนาวศรีเริ่มลดลงอย่างน่าใจหาย ยิ่ง 4-5 ปี ที่ผ่านมานี้ ไม้ใหญ่ในป่าลึกถูกตัดออกไปจำนวนมาก มีการลงทุนด้านเหมือง มีนายทุนเข้ามาครอบครองที่ดินต่อเนื่อง ตัดไม้ดั้งเดิมเพื่อปลูกยาง ปลูกปาล์มซึ่งคนไทยในสิงขรมักไม่นิยมกัน จึงรู้สึกกลัวว่าวันหนึ่งหากเส้นทางตะนาวศรีถูกพัฒนาเพิ่มเติมจากชายแดนไทยสู่เมืองมะริดของพม่า ชุมชนที่เคยอยู่อย่างผาสุกจะเปลี่ยนไป ถึงตอนนั้นเกรงว่าชุมชนอาจจะได้รับผลกระทบที่ขยายวงกว้าง เช่น การแย่งทรัพยากรที่ดินที่มีมูลค่าสูงขึ้น แม้ตอนนี้ยังไม่มีการซื้อขายกันก็ตามแต่รัฐบาลท้องถิ่นเริ่มมีคำสั่งห้ามชาวบ้านเข้าใช้ประโยชน์ในป่าบางแห่งแล้ว

“หลังประเทศพัฒนาไม่ใช่แค่การเข้มงวดตรวจคนเข้าเมืองเท่านั้น ที่เราต้องปรับตัวแม้จะยาก ซับซ้อนแต่เราต้องยอมรับกฎหมายทั้งสองประเทศ อีกปัญหาที่อาจเกิดขึ้นช่วงประเทศพม่าสมัยใหม่ที่กำลังเปิดการลงทุนจากหลายแห่ง ผมกลัวว่า ป่าไม้ที่ดิน แม่น้ำจะหายไป อย่างในไทยพอมันมีโรงงาน คนไทยก็ไม่มีดินทำสวน ทำไร่ ผมจึงอยากเห็นพม่าฝั่งนี้โตไปอย่างช้าๆ แต่ยั่งยืนทุกด้าน เช่น เรื่องด่านก็ผ่อนปรนให้พวกเราคนไทยเจอกันง่ายๆ หน่อย ส่วนเรื่องป่าไม้ ที่ดิน ก็จัดสรรให้เท่าๆ กันน่าจะดีที่สุด ผมไม่อยากให้สิงขรมีแค่ปาล์ม กับยาง” พ่อเชิดเล่าถึงความหวังต่อการพัฒนาประเทศพม่า ที่อาจจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้

ขณะที่นายอำนวย สมรูป หรือ ละแว มี (ชื่อพม่า) อายุ 45 ปี คนไทยอีกหมู่บ้านหนึ่ง เล่าว่า ตนมีย่าทวดปู่ทวดเป็นคนบางสะพาน จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ ก่อนจะมาลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวที่ชุมชนสิงขร ตนเคยบวชอยู่ที่ประเทศไทย4 พรรษา ที่วัดหลวงพ่อเกตุ (วัดเกาะหลัก) อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ พอบวชเสร็จก็กลับมายังบ้านสิงขร โดยแรกเริ่มเดิมทีนั้น ชุมชนสิงขร ไม่มีพม่าอยู่เลย พม่าเพิ่งเริ่มเข้ามาตอนประกาศกฎอัยการศึก

แม่ทอง กับกระท่อมพักผ่อนกลางสวนหมาก
แม่ทอง กับกระท่อมพักผ่อนกลางสวนหมาก

“แรกๆที่กลับมาสิงขร เราใช้ภาษาไทยสำเนียงเหมือนภาคใต้ไทยตลอดเลยนะ ก็เราอยู่กันแบบนี้ ตอนนี้ครอบครัวและผมเองก็พูดพม่าได้ เพราะใกล้บ้านมีเรือนจำ มีคนพม่าทยอยมาอยู่ เมื่อก่อนช่วงประกาศอัยการศึกแรกๆ ไปไหน มาไหน ใครก็หาว่าพวกเราไม่ใช่พม่า รัฐบาลเพิ่งมาทยอยทำบัตรประชาชนให้ทีหลัง ช่วงผมอายุประมาณ 18-20 ปี รัฐบาลตรวจบัตรทุกรอบ เวลาผมไปเยี่ยมญาติที่ไทยต้องมีการตรวจบัตรตลอด ตอนนี้ชีวิตดีขึ้นเยอะ มีบ้าน มีสวนอยู่ แม้จะถือบัตรประชาชนพม่าก็เถอะ แต่ผมเรียกตัวเองว่าไทยครับ ส่วนทางการพม่าจะเรียกเราว่าคนพม่าเชื้อสายไทยก็ช่างเขา มันไม่มีอะไรเจ็บปวดเท่านี้อีกแล้ว เมื่อคุณไปไทยเขาว่าเราพม่า เมื่อคุณอยู่พม่าเขาว่าเราไทย ผมเองก็ไม่ได้มองความสำคัญตรงนั้นเลย ผมแค่รู้สึกว่าเรามีความสัมพันธ์กัน คนสิงขร กับคนประจวบอย่างน้อยใช้ภาษาเดียวกัน” อำนวย กล่าว

อำนวยมั่นใจว่าการเลือกอยู่ในแผ่นดินสิงขรเป็นการตัดสินใจถูกต้อง ขณะที่คนไทยที่นั่นอีกจำนวนมากโยกย้ายกลับมาฝั่งไทยเพราะไม่สามารถทนแรงกดขี่จากทหารพม่าในยุคนั้นได้ แม้ลึกๆเขาต้องการถือทั้งสองสัญชาติก็ตาม แต่ในเมื่อเลือกแบบนั้นไม่ได้ จึงคิดว่าการอยู่บนแผ่นดินที่มีความสุขบนที่ดินของตนเองแบบไม่ต้องรับจ้างเหมือนคนไทยพลัดถิ่นที่อยู่ฝั่งไทย ย่อมได้เปรียบเพราะครอบครัวของเขามีอาชีพเกษตรกรรมการมีแผ่นดินทำกินเป็นความคุ้มค่าเสมอ

14191691_601129943381237_677036413_o
ภาพอาหารต้อนรับจากชาวไทยสิงขร

ปัจจุบันนอกจากอำนวยจะทำสวน ทำไร่ แล้วยังมีอาชีพเสริมเป็นคนขับรถรับส่งเด็กนักเรียนด้วยชีวิตของอำนวยจึงค่อนข้างสุขตามอัตภาพ อำนวยและคนไทยในพม่าหลายคนจึงเข้าใจและเห็นใจคนไทยพลัดถิ่นฝั่งประเทศไทยอย่างดี สิ่งที่พวกเขาทำได้ คือ เดินทางไปเยี่ยมเยียนกันตามโอกาสที่เหมาะสม และยืนยันว่าเขาไม่เคยลืมแผ่นดินไทย

ขณะที่ข้อมูลของมูลนิธิชุมชนไทระบุว่า ในพม่ามีกลุ่มคนไทยอาศัยอยู่ในเขตมะริด ทวาย ตะนาวศรี ซึ่งเดิมเป็นเขตแดนไทย แต่เมื่อช่วงอังกฤษทำการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับพม่าใหม่ซึ่งมีคนบางกลุ่มย้ายมาอยู่ฝั่งไทยกลาย บางกลุ่มไป-มาระหว่างไทย พม่า เป็นที่รู้จักในนามไทยพลัดถิ่น แต่มีชุมชนคนไทยบางส่วนไม่ได้โยกย้ายออกมาด้วยเหตุผลหลายประการ รัฐบาลพม่าเองไม่ได้ยอมรับให้เป็นพลเมืองพม่า และออกบัตรระบุว่า “เป็นคนไทย” และเมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว ช่วงที่รัฐบาลพม่าทำสงครามกับชาติพันธุ์ในพม่า คนไทยกลุ่มนี้ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ถูกกดขี่รังแก กลุ่มคนจำนวนหนึ่งจึงโยกย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่กับญาติพี่น้องในประเทศไทยเช่นเดิม บริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง พังงา และบางส่วนอาศัยในจังหวัดตาก โดยมีอยู่ราว 30,000 คน อยู่ระหว่างการยื่นขอสัญชาติไทย ขอมีบัตรประจำตัวคนไทยประมาณ 8,000 คน แต่ได้รับบัตรราว4,000 กว่าคนเท่านั้น ซึ่งในกลุ่มคนไทยพลัดถิ่นซึ่งยังพิสูจน์สัญชาติไม่ได้จึงไม่ได้การรับรองว่าเป็นคนไทย และมักถูกจำกัดสิทธิทุกด้าน เช่น ทั้งไม่สามารถเดินทางออกนอกชุมชนที่อาศัยอยู่ได้ ไม่มีสิทธิ์แจ้งเกิด ไม่มีสิทธิ์แจ้งตาย ไม่มีสิทธิ์แจ้งความกรณีถูกเอาเปรียบค่าแรงงาน