เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2563 นางแสงโสม หาญทะเล ชาวอูรักลาโวยบนเกาะหลีเป๊ะ อ.เมือง จ.สตูล เปิดเผยว่าขณะนี้ได้เกิดปัญหาพิพาทเรื่องที่ดินของชาวบ้านบนเกาะหลีเป๊ะขึ้นอีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นกรณีของนางละออง หาญทะเล ซึ่งมีบ้านอยู่ในชุมชนปาดั๊กที่เป็นชุมชนดั้งเดิมและนางละอองอยู่มาตั้งแต่เด็กๆ โดยสามีของนางละอองเป็นลูกหลานของโต๊ะคีรีผู้บุกเบิกพาชาวอูรักลาโว้ยไปปักหลักตั้งถิ่นฐานบนเกาะหลีเป๊ะเมื่อกว่า 100 ปีก่อน
นางแสงโสมกล่าวว่า พื้นที่บ้านของนางละอองถูกใช้เป็นพื้นที่ลำเลียงนักท่องเที่ยวและเป็นที่จอดรถ รวยมทั้งขนถ่ายขยะ แต่ต่อมาถูกเอกชนอ้างสิทธิ์และมีปัญหาต่อเนื่องเรื่อยมาเพราะมีคนนอกเข้ามามากมาย เช่น ขยะที่ถูกขนถ่ายเน่าเหม็น ส่วนการเลี้ยงเป็ดของนางละอองนั้นเป็นไปตามวิถีของชาวอูรักลาโว้ยคือตอนกลางวันปล่อยให้เล่นน้ำ แต่เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา เป็ด 2 ตัวถูกรถทับตายและไม่มีใครรับผิดชอบ นางละอองจึงให้ลูกชายเขียนป้ายว่า “มีรถใหญ่ชนเป็ดตายไม่รับผิดชอบ”โดยนำป้ายปักไว้เพื่อต้องการเรียกร้องขอความเป็นธรรมและถามหาความรับผิดชอบ แต่การปักป้ายดังกล่าวทำให้รถไม่สามารถวิ่งสวนกันได้ จึงมีคนไปแจ้งผู้ที่อ้างว่ามีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและต่อมาได้มีการไปแจ้งความที่สถานีตำรวจว่านางละอองบุกรุกและมีตำรวจมาตามนางละออง 2-3 ครั้งเพื่อให้ยอมรับว่าเป็นที่ดินบริเวณนี้เป็นของเขา
“เป็ดตัวหนึ่งราคา 4-5 ร้อยบาท 2 ตัวก็ราคา 1,000 บาท มันมีค่าสำหรับชาวบ้านโดยเฉพาะในยุคโควิด ชาวบ้านเลี้ยงไว้กินไข่และขนของเป็ดก็มีความจำเป็นเพราะชาวอูรักลาโว้ยนำไปเป็นเหยื่อตกปลา ตอนนี้นางละอองรู้สึกเป็นกังวลใจมากและไม่กล้าไปโรงพักเพราะไม่มีเงินค่าทนาย”นางแสงโสม กล่าว
นางละอองกล่าวว่า“เราไม่ยอมเพราะเราอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ที่ดินบริเวณนี้เราใช้เดินขึ้นลงหาดมาโดยตลอด เป็ดที่เราเลี้ยงเราเลี้ยงแบบปล่อยมานาน เพราะเลี้ยงแบบธรรมชาติ การที่ไปปักป้ายเราก็ไม่ได้ไปบุกรุกที่ดินคนอื่น แต่เราต้องการให้มีคนรับผิดชอบที่ทำเป็ดตาย”นางละออกกล่าว
ทั้งนี้ชาวบ้านอูรักลาโว้ยบนเกาะหลีเป๊ะมีอยู่กว่า 300 ครัวเรือนซึ่งทั้งหมดไม่มีความมั่นคงในเรื่องที่อยู่อาศัยทั้งๆที่เป็นลูกหลานผู้บุกเบิกเกาะหลีเป๊ะ แต่ถูกเอกชนอ้างกรรมสิทธิ ขณะที่พื้นที่จำนวนมากที่อยู่ในความดูแลของอุทยานฯก็ถูกเอกชนบุกรุกเช่นกัน
พลเองสุรินทร์ พิกุลทอง อดีตประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชุมชนชาวเล สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตอนเป็นประธานนั้น ได้ลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ และดำเนินการเอาข้อเท็จจริงกรณีที่ดินมาวางบนโต๊ะ และเสนอทางออกไว้หมดแล้ว มีการแจ้งครอบครองสค. 1 จำนวน 41 ราย แต่ชาวบ้านจริงๆมีมากกว่านั้น และมีการขยายไปทับของคนอื่น พอคนอื่นเอามาแบ่งขายก็ขยายเพิ่มและทับของคนอื่นอีก ทำให้กลายเป็นปัญหามาจนถึงทุกวันนี้
“จริงๆชาวเลบางส่วนที่ไม่ได้แจ้งการครอบครองที่ดินไว้ เขาก็ยังมีสิทธิอยู่เพราะอยู่ก่อน 2479 เพียงแต่ชาวบ้านอ่านหนังสือไม่ออกเลยไม่รู้ว่าใครแจ้งไว้อย่างไร ทำให้กลายเป็นว่าชาวเลอยู่ในพื้นที่ของคนอื่น โดยมีเป็น 125 ครอบครัวไม่มีที่อยู่ ตอนนั้นมติให้เอาที่ดินที่ขยายออกไม่ถูกต้องและพื้นที่ไม่เป็นของใครเลยมาจัดสรรให้ชาวบ้าน มีการเตรียมสร้างบ้านใหม่โดยประสานพอช.(สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน)ไว้พร้อมแล้ว ส่วนเส้นทางลงทะเลและเส้นทางน้ำที่มีอยู่เดิมรวมทั้งทางเข้าโรงเรียนต้องเปิดทางให้กลับคืนมาเหมือนเดิม แต่คณะกรรมการฯชุดที่ผมเป็นประธานถูกยุบไปก่อนและย้ายคณะกรรมการฯไปอยู่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำให้เรื่องเงียบมาจนถึงวันนี้ เรื่องควรจบได้ก็เลยยังไม่จบ กลายเป็นความเดือดร้อนของชาวเลมาถึงทุกวันนี้”พลเอกสุรินทร์ กล่าว
พลเอกสุรินทร์กล่าวว่าจริงๆแล้วปัญหาชาวเลที่หลีเป๊ะแก้ได้ เพราะเราเคยเอาข้อเท็จจริงมากางดูแล้ว ทุกคนต้องยอมเพราะเป็นข้อเท็จจริง เสียดายเรื่องนี้เงียบหายไปก่อนและไม่มีใครติดตามเรื่อง ซึ่งขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมหรือพีมูฟก็เคยหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นข้อเรียกร้องและเคลื่อนไหว เรื่องนี้เป็นข้อกฎหมาย ถ้าทุกคนเอาข้อกฎหมายมาวางไว้และแก้ไขจริงจังก็แก้ไขได้
ด้านดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนจิตรา สายสุนทร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) กล่าวว่า คณะนักกฏหมายของบางกอกคลีนิค มธ. ได้ลงสำรวจพื้นที่หลีเป๊ะและพบว่ามีปัญหาด้วยกัน 12 ด้าน อาทิ ขาดข้าวยังชีพ น้ำสกปรกและขาดแคลน ถูกขับไล่จากที่อยู่อาศัย ไม่มีสุสานฝังศพบรรพบุรุษ ไฟฟ้าแฟงและอันตราย ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีการแก้ไขปัญหาหรือจัดการอย่างจริงๆจังๆ ปัญหาคือขั้นตอนของกฎหมายมีอยู่แต่ไม่ได้ทำกันเป็นเรื่องเป็นราว จึงได้เสนอให้มีการสำรวจและทำตามกฎหมายจริงจังเพื่อแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน
“กรณีของนางละอองนั้น ตอนนี้ได้ประสานไปยังยุติธรรมจังหวัดให้เข้าไปช่วยดูแลแล้ว ตอนที่เราไปสำรวจ ปัญหาที่ดินแปลงนี้ของนางละอองไม่ได้เข้ามาร่วม ที่สำคัญคือกรมอุทยานฯต้องเข้ามาดูแลคนที่อยู่ในอุทยานฯด้วย ไม่ใช่ดูแลแต่ธรรมชาติ”ดร.พันธุ์ทิพย์ กล่าว
————
อ่านข่าวเพิ่มเติมกรณีที่ดินเกาะหลีเป๊ะ https://transbordernews.in.th/home/?p=8075
https://transbordernews.in.th/home/?p=8671