โดย Salai Vakok
แปลและเรียบเรียงโดย หมอกเต่หว่า

“พวกคุณให้สัญญาจะอยู่ด้วยกันอย่างซื่อสัตย์หรือไม่” น้ำเสียงที่สงบและถามขึ้นอย่างช้าๆ ในภาษาชินจากบาทหลวง เจ้าสาวและเจ้าบ่าวในชุดแต่งกายแบบตะวันตกตรงหน้าบาทหลวงต่างยิ้มให้กัน หลังจากแลกแหวนแต่งงานกันแล้ว ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวได้ลงนามในข้อตกลงการแต่งงาน ไม่นานนัก บาทหลวงได้กล่าวอวยพรให้กับคู่แต่งงานใหม่
ซุ้มศาลาซึ่งเป็นสถานที่จัดแต่งงานถูกคลุมด้วยผ้าใบผืนเก่า และตกแต่งด้วยดอกไม้ป่า เช่นเดียวกับโต๊ะเพียงไม่กี่โต๊ะถูกจัดเตรียมไว้ให้กับแขกที่มาร่วมงาน ก็เหมือนภาพการแต่งงานทั่วไปตามประเพณีของชาวชินที่พบเห็นได้ในเขตชนบท แต่ต่างกันตรงที่บ้านเรือนรอบๆ กับสถานที่แต่งงานยามนี้ว่างเปล่าและเงียบเหงา เนื่องจากชาวบ้านที่เคยอยู่ในละแวกนี้ต่างหนีออกไปเพราะสงคราม แม้มีชาวบ้านละแวกใกล้เคียงไม่กี่คนที่เข้าร่วมงานแต่งงานครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม งานกลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนในชุดเครื่องแบบและผู้คนจากพื้นที่อื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป
ความแปลกของงานแต่งงานในครั้งนี้คือ เต็มไปด้วยเหล่าสหายที่แต่งกายเต็มยศและให้การรักษาความปลอดภัยภายในงาน และพร้อมรบทุกเมื่อหากถูกโจมตีจากทหารพม่าในช่วงเวลาที่งานแต่งงานกำลังดำเนินอยู่
งานแต่งงานนี้ไม่ใช่งานแต่งงานธรรมดา เพราะเป็นงานแต่งงานของ “โก่อาเลียน” ผู้บังคับบัญชากองพัน Vakok และ CNDF (กองกำลังป้องกันแห่งชาติชิน – China National Defense Force – CNDF) กับหญิงคนรักนักปฏิวัติ
ผู้บัญชาการโก่อาเลียนนั้นเคยเป็นเจ้าหน้าที่ที่ออกมาประท้วงอารยะขัดขืนต่อกองทัพเผด็จการทหารพม่า เขาแทบไม่มีเงินจัดแต่งงานครั้งนี้ เขามีเพียงแต่รักแท้ และความภักดีซื่อสัตย์ รวมไปถึงมีแต่ความตั้งใจจริงที่จะล้มล้างกองทัพเผด็จการทหารพม่าเท่านั้น แต่ทางพ่อแม่ของฝ่ายเจ้าสาวก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากเขามากไปกว่าความซื่อสัตย์ต่อลูกสาวของพวกเขาเท่านั้น
งานแต่งงานในครั้งนี้เกิดขึ้นได้เพราะได้ความช่วยเหลือจากพี่สาวคนโตของเขาที่อยู่ต่างประเทศ พิธีแต่งงานในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยสงครามจึงเฉลิมฉลองไปด้วยเหล่าสหาย เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพเพื่อประชาชน เช่นจากกลุ่ม KKG, กลุ่มกองทัพเพื่อประชาชนกาเล PDF ต่างก็ตบเท้าเข้าร่วมงานเพื่อเป็นเกียรติให้กับคู่บ่าวสาว
แกงเนื้อหมูมากกว่าร้อยกิโลกรัมถูกเสิร์ฟให้กับแขกที่มาร่วมงานในครั้งนี้ นอกจากแขกที่มาร่วมงานแล้ว กองทัพพม่าเองก็เหมือนจะต้องการแสดงความยินดีให้กับงานแต่งงานในครั้งนี้ด้วยการนำปืนขนาด 120 มม.ที่ประจำการในเมืองกาเลไปยังค่ายทหารนอกเมือง และยิงปืนถึง 7-8 ครั้งไปตามสถานที่พวกเขาคาดเดาว่าเป็นสถานที่แต่งงานของผู้บังคับบัญชากองพันหนุ่มรายนี้
“สุนัขทหารพม่าได้ข่าวการแต่งงานของเรา และพวกเขาแสดงความยินดีกับเราด้วยการยิงปืนใหญ่” โก่อาเลียนกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างเป็นกันเอง แต่เสียงปืนก็ทำเอาแขกตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อยในช่วงที่เสร็จพิธีแล้ว แขกบางส่วนจึงเริ่มทยอยกลับ เหลือเพียงแขก 2 โต๊ะ ที่พวกเขากำลังรีบจัดการกินแกงหมูกับข้าวสวยให้เสร็จ
บ้านเรือนส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานต้องกลายเป็นหมู่บ้านร้าง เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านต้องหนีออกจากหมู่บ้านเพราะสงคราม
หลังเสร็จสิ้นพิธีแต่งงาน เจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างรีบเปลี่ยนชุดเป็นเครื่องแบบทหารและเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม แต่โชคดีในวันแต่งงานของพวกเขาไม่มีการสู้รบเกิดขึ้น
คู่บ่าวสาวได้กลับไปยังป่าพร้อมกับเพื่อนสหายของพวกเขา ที่นั่นเป็นสถานที่ที่สวยงาม มีทั้งทิวเขา ป่าไม้ และสะพานไม้เล็กๆ และเสียงนกร้องบนต้นไม้ มันจะเป็นฉากที่สมบูรณ์แบบถ้าไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยควันดินปืน
โก่อาเลียนก็เหมือนกับสมาชิกคนอื่นอีกกว่า 10 คู่ ของกองทัพปกป้องชิน Chin Defense Forces (CDF) ที่ตัดสินใจแต่งงานในช่วงการปฏิวัตินี้ แต่ตัวเลขนี้ไม่ได้รวมตัวเลขของคู่แต่งงานนักปฏิวัติทั้งหมดในรัฐชิน การแต่งงานของคู่รักบางคู่ถูกจัดขึ้นในพื้นที่ของกองทัพต่างๆ หรือแม้แต่ในพื้นที่สนามรบ
“แม้พวกเขาจะกำลังต่อสู้เพื่อประเทศชาติ แต่พวกเขาก็สามารถตกหลุมรักได้ ที่จริงแล้ว นักต่อสู้ปฏิวัตินั้นโรแมนติกเสียยิ่งกว่า” ซาไล ทิมมี่ โฆษกจากกลุ่มคณะกรรมการร่วมต่อสู้ดินแดนรัฐชิน (Chin land Joint Defense Committee) กล่าว
เขาเล่าด้วยว่า นักปฏิวัติบางคนในเทือกเขารัฐชินเลือกที่จะไม่ติดต่อกับคนรักเนื่องจากความกังวลในด้านความปลอดภัย ความสัมพันธ์ของบางคู่จึงยุติลงด้วยโศกนาฏกรรม
ขณะที่ความสัมพันธ์ของคู่รักบางส่วนก็ยังคงดำเนินไปแม้ในยามสงคราม สหายนักรบบางคนสูญเสียแขนขาจากการสู้รบ แต่คนรักของพวกเขาก็ยังคงตอบตกลงที่จะแต่งงานโดยไม่ลังเล
หลังจากกองทัพก่อรัฐประหารเมื่อต้นปี 2564 ชีวิต ความฝัน และความรักของคนหนุ่มสาวหลายล้านคนในพม่าต้องพลิกผัน
ในตอนแรกๆ คนหนุ่มสาวพากันออกไปที่ท้องถนนและประท้วงอย่างสงบ แต่เมื่อทหารเริ่มปราบปรามการประท้วงอย่างรุนแรง คนหนุ่มสาวเหล่านั้นต่างเดินทางไปหลบภัยอยู่ในป่าห่างจากเมืองและดำเนินการปฏิวัติด้วยอาวุธ
คนหนุ่มสาวบางส่วนถูกแยกจากคนรักด้วยกำแพงคุก ใครที่เลือกชีวิตปฏิวัติ ต้องยอมเสียสละในชีวิตส่วนตัว ครอบครัว บ้านและการศึกษา บางคนตั้งใจที่จะกลับไปหาคนที่พวกเขารักหลังจากการปฏิวัติฤดูใบไม้ผลิ (Spring Revolution) แต่สหายบางคนไม่สามารถกลับไปหาครอบครัวและความรักที่แท้จริงได้อีก
โก่อาเลียนนั้นเกิดในครอบครัวและในหมู่บ้านที่ทำการเกษตรกรรม ที่นั่นพวกเขามีดินที่สมบูรณ์ ชาวบ้านมีรายได้จากการทำและเก็บเกี่ยวผลผลิตทางเกษตรกรรมตามฤดูกาล และรายได้จากการทำงานในต่างประเทศ
โก่อาเลียนเป็นชายหนุ่มที่มีการศึกษาจากครอบครัวยากจน ในปี 2562 หลังเกิดโรคโควิดระบาดในพม่า เขาได้เดินทางกลับบ้าน และออกจากงานราชการ และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอสาวชาวบ้านคนหนึ่งครั้งแรก
“ผู้คนต่างได้รับผลกระทบมากมายจากโควิด แต่โรคระบาดกลับทำให้เราสองคนได้พบกัน” โกอาเลียนพูดพลางหัวเราะ ซึ่งในปีเดียวกันนั้น หญิงคนรักของโก่อาเลียนนั้นเพิ่งเดินทางกลับจากการไปเรียนที่มหาวิทยาลัยโมงยวา และในช่วงเวลานั้นเอง โก่อาเลียนก็เป็นอาสาสมัครช่วยเหลืองานกลุ่มเยาวชนในหมู่บ้านของเขาในฐานะเลขาธิการของกลุ่ม และหลังกองทัพพม่ายึดอำนาจ โก่อาเลียนก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ร่วมประท้วงอารยะขัดขืนและร่วมประท้วงในท้องถนน
“แม้แต่หลานสาวตัวเล็กของผมยังร้องไห้ เมื่อได้ข่าวการรัฐประหาร ผู้ใหญ่อย่างเราจึงไม่สามารถที่จะทนได้” โก่อาเลียนกล่าว หลังกองทัพพม่าเริ่มใช้ความรุนแรงกับกลุ่มที่ออกมาประท้วง โก่อาเลียนจึงตัดสินใจที่จะจับอาวุธและเข้าร่วมกับการปฏิวัติ เช่นเดียวกับหญิงสาวคนรักของเขาที่เข้าร่วมปฏิวัติเช่นเดียวกัน และทำงานในสำนักงานของกองทัพ CNDF – Vakok
ทั้งนี้ งานแต่งงานของโก่อาเลียนนั้น ถูกจัดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ รายล้อมด้วยป่า ในเมืองกะเล เขตสะกาย
มันเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่ด้วยพระคุณของพระเจ้า งานแต่งงานของเราเป็นไปอย่างราบรื่น” โก่อาเลียนกล่าว ท่ามกลางควันดินปืน คู่รักนักปฏิวัติได้รับพรจากบาทหลวงและได้รับการยอมรับว่าเป็นสามีภรรยากันในที่สุด