สถานการณ์การสู้รบภายในรัฐกะเหรี่ยง (Kayin หรือ Karen State) หรือ กอทูเล (Kawthoolei) ระหว่างกองทัพปลดปล่อยชาติกะเหรี่ยง (Karen National Liberation Army-KNLA ) ซึ่งเป็นหน่วยงานทางทหารของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง(Karen National Union-KNU) กับกองทัพพม่า ซึ่งกำลังรุนแรงขึ้นตามลำดับ แต่ครั้งนี้แตกต่างจากในอดีต
ในอดีตกองทัพพม่ามักเป็นฝ่ายรุกไล่และยึดครองพื้นที่ที่เป็นฐานปฎิบัติการทางทหารของ KNLA รวมถึงพื้นที่เขตอิทธิของ KNU แต่ภายหลังจากกองทัพพม่าก่อรัฐประหารครั้งล่าสุด ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเนื่องจากประชาชนชาวพม่าต่างลุกฮือขึ้นมาต่อต้านกองทัพของตัวเองที่ยึดอำนาจไปจากประชาชนและกระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง และเมื่อเกิดการปราบปรามอย่างหนักจึงพากันมุดดินรวมตัวกันเป็นฝ่ายต่อต้านต่อสู้กับทหารพม่า จำนวนมากเข้าร่วมฝึกฝนทางการทหารโดยมีกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นพี่เลี้ยงและให้การสนับสนุน
เพียงแค่ 3 ปีหลังการรัฐประหาร ได้พลิกเกมในสนามรบของประเทศพม่า โดยกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่จับมือกับฝ่ายต่อต้านเผด็จการทหารพม่า โดยเฉพาะกองกำลังป้องกันประชาชน (People’s Defense Force-PDF) สามารถขับไล่ทหารพม่าออกจากฐานที่มั่นและถอดถอนอำนาจรัฐโดยเฉพาะในรัฐชาติพันธุ์ต่างๆ ทั่วประเทศได้เป็นจำนวนมาก
มีการประเมินกันว่าความอ่อนแอของกองทัพพม่าที่เกิดจากหลายปัจจัยอาจส่งผลไปไกลถึงการแยกตัวของรัฐชาติพันธุ์ต่างๆ ทำให้อำนาจการต่อรองกลับเข้าไปอยู่ในมือกลุ่มชาติพันธุ์เพิ่มขึ้นตามลำดับ
รัฐกะเหรี่ยงเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีกองกำลัง PDF เข้ามาปฎิบัติการร่วมกับทหาร KNU อย่างคึกคัก ทุกวันนี้ประชาชนชาวกะเหรี่ยงแล่นเรือบนแม่น้ำสาละวินชายแดนจ.แม่ฮ่องสอน กับรัฐกะเหรี่ยง โดยมีธงชาติกะเหรี่ยงโบกสะบัดควบคู่กับธงชาติไทย เนื่องจากฐานทหารพม่าที่เคยแทรกอยู่ตามพื้นที่ริมแม่น้ำอย่างน้อย 14 ฐานได้ถูกรื้อถอนออกไปแทบหมดสิ้น
เช่นเดียวกับพื้นที่ชายแดนไทย-รัฐกะเหรี่ยงตั้งแต่ จ.ตาก กาญจนบุรี ไปจนถึงระนอง อิทธิพลของกองทัพและรัฐบาลทหารพม่าได้ถูกรุกไล่จนต้องขยับถอยห่างออกไปจากแนวตะเข็บมากขึ้นทุกวัน
1 ในแม่ทัพที่เข้มแข็งและได้รับความนิยมสูงลิ่วจากประชาชนกะเหรี่ยงในตอนนี้คือ พล.อ.บอจ่อแฮ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดของ KNLA
ในวัย 60 ปีเศษ พล.อ.บอจ่อแฮ ยังคงปักหลักอยู่ที่ฐานบัญชาการกองพล 5 KNLA ริมแม่น้ำสาละวิน ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญบริเวณรอยต่อของรัฐกะเหรี่ยง รัฐคะเรนนีและประเทศไทย
ความเข้มแข็งของ KNU กองพล 5 นอกจากสามารถปฏิบัติการรุกคืบขับไล่ทหารพม่าออกจากพื้นที่ได้แล้ว ยังเป็นกองหนุนสำคัญของกองกำลังคะเรนนี (Karenni Army-KA) บุกโจมตีฐานทหารพม่าในรัฐคะเรนนี ทำให้ปัจจุบันกองกำลังผสมต่อต้านทหารพม่าในรัฐคะเรนนีสามารถผลักดันทหารพม่าออกไปจากพื้นที่ได้กว้างขวางพร้อมการประกาศโครงสร้างการเมืองการปกครองใหม่ของชาวคะเรนนี
“การเคลื่อนไหวของกองทัพกะเหรี่ยงเป้าหมายคือเพื่ออิสรภาพของแผ่นดิน อิสรภาพในที่นี้จะเป็นรัฐชาติหรือสหพันธรัฐก็ได้” พล.อ.บอจ่อแฮ ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวชายขอบ” ถึงเป้าหมายของการต่อสู้กับกองทัพพม่า ซึ่งหลายคนยังไม่เห็นภาพชัดว่าจะต้องรบกันไปถึงขั้นไหน
“การจะเป็นรัฐชาติหรือสหพันธรัฐ สิ่งสำคัญคือเราต้องปกครองบริหารแผ่นดินของเราให้ได้ก่อน ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องพูดว่าจะเป็นรัฐชาติหรือจะเป็นสหพันธรัฐ ตอนนี้ที่ต้องทำคือการมีเสรีภาพบนแผ่นดินของตนเอง เมื่อถึงเวลาเราจะตัดสินใจร่วมกันเอง เราต้องให้ประชาชนของเราปลอดภัย และกองทัพพม่าต้องล่มสลายก่อน สรุปคือเรารบเพื่อให้ได้อิสรภาพบนแผ่นดินของเรา”
แม่ทัพใหญ่ KNLA กล่าวว่า การรบเราต้องชนะก่อน แล้ววางรากฐานของตนเองให้ดี หากยังวางรากฐานของตัวเองไม่ดี และยังรบไม่ชนะ ประเด็นเกี่ยวกับสหพันธรัฐพูดเท่าไหร่ก็ไม่จบสักที ตอนนี้รบกันมากว่า 70 ปี และข้างหน้าอีกกว่า 70 ปีก็ยังสร้างสหพันธรัฐไม่ได้ หากเรายังไม่ชนะและวางรากฐานไม่ดี แต่หากมีชัยชนะและมีรากฐานการปกครองที่ดี มีอิสรภาพบนแผ่นดินของตนเอง เมื่อนั้นเราก็สามารถสร้างสหพันธรัฐร่วมกันได้ แต่หากเรายังไม่บรรลุเป้าหมายในส่วนนี้ เรื่องของสหพันธรัฐเป็นเพียงเรื่องที่นำมาพูดคุยกันแต่ไม่สามารถทำได้จริงๆ
เมื่อถามถึงโอกกาสการเจรจากับรัฐบาลทหารพม่า พล.อ.บอจ่อแฮ กล่าวว่า “ถ้าเขาต้องการเจรจากับเรา เราก็เจรจา แต่การรบก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป หากเจรจาอย่างเดียว แล้วไม่ปฏิบัติตาม หรือไม่ทำอะไร เราก็ไม่บรรลุเป้าหมาย การเจรจาพูดคุย เราก็ต้องปฏิบัติตาม หากต้องรบ ก็รบไปพูดคุยกันไปได้”
“ผมยกตัวอย่าง หากแผ่นดินของเรายังปกครองไม่ได้ ยังไม่สามารถวางรากฐานการบริหารที่ดีได้ อย่าพูดถึงเรื่องของสหพันธรัฐเลย เพราะสหพันธรัฐก็จะสร้างขึ้นไม่ได้เช่นกัน เช่นเดียวกับการดำเนินชีวิตหากเราไม่ดำเนินชีวิตตามแนวทางสันติ สันติภาพก็เกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นในการพูดคุยก็ต้องมีการปฏิบัติตามด้วยหากพูดอย่างเดียวแล้วไม่ปฏิบัติตาม สันติภาพก็เกิดขึ้นไม่ได้ การพูดคุยก็ต้องคุยกันจนยอมรับและเห็นตรงกันทั้งสองฝ่าย ถ้าอยากจะคุยก็คุย หากจำเป็นต้องรบก็ต้องรบ แต่สุดท้ายแล้ว การพูดคุยต้องนำมาซึ่งการปฎิบัติด้วย หากไม่ปฏิบัติตามก็ไม่มีประโยชน์ ผลของการพูดคุยคือการปฏิบัติตาม”
พล.อ.บอจ่อแฮ ย้ำหลายครั้งในเรื่องการเจรจากับกองทัพพม่าว่า ต้องเป็นความต้องการที่แท้จริงของทั้งสองฝ่าย และสิ่งที่ KNLA ยังต้องดำเนินการคือเร่งขับไล่สิ่งที่ไม่ถูกต้องและสิ่งชั่วร้ายออกไป พร้อมสร้างสิ่งที่ดี ซึ่งต้องทำจนกว่ากองทัพพม่าจะสู้ไม่ไหวแล้วขอเจรจา
“คุยกันมา 10 ปีเราก็ยังต้องรบกันอยู่ เราจะคุย 3 เดือน เราก็ยังต้องรบกันอยู่ หรือเราจะคุยวันเดียวเราก็ยังต้องรบกันอยู่ นี่คือประสบการณ์ที่ผ่านมา เราก็พูดคุยกันอยู่ 2-3วันเพราะทุกอย่างไม่ลงตัวก็ต้องเริ่มรบกันใหม่ ในยุคของนายพลโบเมี๊ยะ ช่วงปี 2004 เราพักรบ 3 เดือนเพื่อเจรจา แต่เมื่อการเจรจาไม่เป็นผลก็ต้องรบกันใหม่ เราผ่านการเจรจาและรบกันเป็น 10 ปี สุดท้ายเราก็ต้องมารบกันใหม่ เราจะไม่เสียเวลาแบบนั้นอีกแล้ว”

ปัจจุบันหลายฝ่ายเรียกร้องให้ประเทศที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นไทย อาเซียน จีน หรือประเทศตะวันตกเข้ามาร่วมเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างกองทัพพม่ากับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์รวมทั้งกองกำลังคู่ขัดแข้งกับทหารพม่า แต่ความเคลื่อนไหวนี้กลับยังไม่จริงจังเท่าที่ควร
“จะประสานงานเจรจากันเองก็ได้ หรือจะมีคนกลางมาเป็นคนเจรจาร่วมก็ได้ ในอดีตกองทัพพม่าก็ประสานตรงมาที่เรา ต่อมาก็มีคนกลางช่วยประสานให้ ความเป็นจริงสามารถทำได้ทั้ง 2 แบบ แต่ด้วยสถานการณ์ถ้ามีคนกลางก็ดีเหมือนกัน ในความเป็นจริงทำได้ทั้ง 2 แบบและดีทั้ง 2 อย่าง ถ้าเราทำด้วยแนวทางที่ถูกต้องก็จะเห็นผล
“กองทัพพม่าทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง เราก็ทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง คนกลางที่เข้ามาก็ทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง หากแต่ละฝ่ายทำเพื่อหวังประโยชน์ของตนเองจะไม่มีประโยชน์อะไร เราต้องดูประโยชน์ของทุกฝ่าย อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เราต้องพิจารณาให้ดีเมื่อถึงเวลานั้นเราก็จะเห็นผลของการกระทำ”
พล.อ.บอจ่อแฮกล่าวว่า กรณีที่ต่างชาติหรือรัฐบาลต่างชาติจะเข้ามาแทรกแซงก็มีความจำเป็นเพราะว่าเราอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้ แต่ละกลุ่มชาติพันธ์ก็ต้องร่วมมือกัน แต่ละประเทศก็มีความจำเป็นที่ต้องประสานความร่วมมือกัน
เมื่อถามว่า สถานการณ์การต่อสู้ในระลอกนี้มีความมั่นใจแค่ไหนเพราะถือว่าเป็นช่วงที่รัฐบาลทหารพม่าอ่อนแอที่สุด รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด KNLA กล่าวว่า “การออกรบของเรา เราเชื่อว่าเราจะชนะเราจึงรบ เรารบเพื่อความถูกต้อง เชื่อว่าสักวันเราจะชนะเพียงแค่จะช้าหรือจะเร็ว หากรบไม่ชนะแสดงว่าเรารบไม่ถูกวิธี แน่นอนว่ายุทโธปกรณ์ของเราไม่พร้อม จึงมีความจำเป็นที่ต้องประสานความร่วมมือกับกลุ่มของกำลังชาติพันธุ์อื่น บางกลุ่มอาจจะร่วมมือกันยาก แต่หากเราร่วมมือกันได้ทุกอย่างก็จะจบไว และถึงเป้าหมายของเราเร็วขึ้น”
“เรามีความหวังว่าจะมีการร่วมมือกันมากขึ้น ตอนนี้แม้เราจะยังไม่ทำการรบพร้อมกัน แต่หวังว่าอนาคตจะมีปฏิบัติการที่พร้อมกันมากขึ้น หากเราบอกว่าจะรบพร้อมกัน กลุ่มหนึ่งอาจจะรบก่อน กลุ่มที่สองก็เปิดปฏิบัติการตาม กลุ่มที่สามก็เปิดปฏิบัติการตาม อาจมีข้อจำกัดในความพร้อมของแต่ละกองกำลัง แต่ถึงแม้จะไม่มีปฏิบัติการพร้อมๆกัน แต่จะเป็นการร่วมใจปฏิบัติการในช่วงเวลาไล่ไล่กันด้วยความสามัคคี
“ยกตัวอย่างเมื่อก่อนหากมีการรบของกลุ่มหนึ่งอีกกลุ่มก็อยู่เฉยๆ ตอนนี้จะเห็นว่าหากกลุ่มหนึ่งรบ กลุ่มที่สองก็จะเปิดปฏิบัติการตาม กลุ่มที่สามก็จะเปิดปฏิบัติการตาม เริ่มมีความสามัคคีในการทำเป็นปฏิบัติการมากขึ้น ปัจจุบันถึงขั้นที่ประชาชนพม่าลุกขึ้นมาสู้กับกองทัพพม่า ถึงแม้ตอนนี้อาจจะยังไม่มีความพร้อมเพรียงกัน แต่แนวคิดเริ่มเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ปฏิบัติการเริ่มทำพร้อมๆ กัน ในอนาคตหากเราประสานความร่วมมือกันมากขึ้น กำลังเราก็จะเข้มแข็งขึ้น”
มีการวิเคราะห์กันว่าในปี 2567 นี้จะได้เห็นจุดแตกหักระหว่างกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รวมถึงฝ่ายต่อต้านกับรัฐบาลทหารพม่า โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งนี้ที่กำลังจะเกิดการสู้รบใหญ่และจะทำให้เห็นถึงทิศทางของประเทศพม่า
“การสู้รบจะจบในปีนี้หรือไม่ ผมยังพูดไม่ได้” พล.อ.บอจ่อแฮยังสงวนความเห็นในเรื่องนี้ แต่เขาระบุว่า “ปีนี้เป็นปีที่กองกำลังชาติติพันธุ์มีโอกาสดีและได้เปรียบ แต่กองทัพพม่าจะล่มสลายหรือไม่ ผมยังพูดไม่ได้”
“มีคนมองว่าการสู้รบจะจบลงในปีนี้ ส่วนตัวผมคิดว่าจบไม่ได้ภายในปีนี้ รูปแบบอาจจะเปลี่ยนไปก็เป็นได้ ในปี 2024 นี้ ผมบอกไม่ได้ว่ากองทัพพม่าจะล่มสลาย เพียงแต่จังหวะนี้เป็นโอกาสดีของทุกกลุ่มชาติติพันธุ์เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพ สันติภาพ และสิ่งที่แต่ละกลุ่มต้องการ”
แม่ทัพใหญ่ของกองกำลังกะเหรี่ยงย้ำว่า “กองทัพพม่าต้องออกไปจากแผ่นดินเรา เพราะพวกเขาอยู่ก็ไม่เป็นประโยชน์กับประชาชนของเรา อย่างที่ผมบอกไว้ สิ่งที่ไม่ดี เราต้องเอาออกไป ความไม่ถูกต้องเราก็ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง และเราจะสร้างรากฐานที่ดีบนแผ่นดินของเรา”