Search

รพ.ชายแดนตากประชุมด่วนวางแผนรับมือผลกระทบจากนโยบายหยุดช่วยเหลือของ “ทรัมป์” ผอ.รพ.อุ้มผางเผยผู้บริหารระดับสูงยืนยันช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม-เสนอตั้งกองทุนรับบริจาคระดับประเทศ-รพ.ในศูนย์ปิดแล้ว 5 แห่ง ผู้ลี้ภัยโอดไร้สถานพยาบาล

รพ.ในศูนย์พักพิงในสอยปิดภายหลังองค์กร IRC ที่สนับสนุนถูกตัดงบประมาณ

เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2568 ที่โรงพยาบาล(รพ.)อุ้มผาง จ.ตาก ได้มีการประชุมเพื่อเตรียมรับมือผลกระทบจากกรณีที่สถานพยาบาลในค่ายผู้พักพิงชายแดนไทยและสถานพยาบาลบริเวณแนวชายแดนปิดบริการจากการถูกตัดงบประมาณตามนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยนพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง เปิดเผยว่าสถานพยาบาลในอำเภอชายแดนทั้ง 5 โรงพยาบาลในจ.ตาก ยืนยันในเรื่องความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งผู้บริหารระดับสูงต่างก็ยืนยันในประเด็นนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าดีใจ เพราะเรื่องการแพทย์ฉุกเฉินที่เป็นอันตรายถึงชีวิตและการแพร่ระบาดของโรค เช่น วัณโรค จิตเวช ในศูนย์พักพิงยืนยันว่าจะไม่เก็บเงิน และขอเวลาสำรวจว่าจะเข้าไปทำหน้าที่แทนภาคเอกชนที่ออกไปได้อย่างไรบ้าง โดยจะทำแผนเพื่อประเมินว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างโดยในวันที่ 30 มกราคม จะมีการประชุมกันอีกครั้ง

นพ.วรวิทย์กล่าวว่า แต่ละโรงพยายาลใน 5 อำเภอชายแดนจะแบ่งกันดูแลศูนย์พักพิงชั่วคราวโดย รพ.อุ้มผางดูแลศูนย์พักพิงนุโพ รพ.พระพบดูแลศูนย์พักพิงอุ้มเปี้ยม รพ.ท่าสองยางและรพ.แม่ระมาดดูแลศูนย์พักพิงแม่หละ ส่วนรพ.แม่สอดจะเป็นฝ่ายสนับสนุนให้กับทุกโรงพยาบาล อย่างไรก็ตามในบางศูนย์พักพิงก็ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจาก IRC (International Rescue Committee)เพียงองค์กรเดียว แต่มีองค์กรอื่นด้วยซึ่งไม่ถูกตัดงบประมาณ

ผู้สื่อข่าวถามว่าการปิดสถานพยาบาลในศูนย์พังพิงจะส่งผลกระทบต่อโรคร้ายแรงที่อาจแพร่ระบาดหรือไม่ นพ.วรวิทย์กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลต่างต้องรีบเข้าไปดูแล เพราะหากมีโรคเกิดขึ้นอาจแพร่ระบาดไปยังพื้นที่อื่นๆได้ จึงต้องมีมาตรการเร่งด่วน โดยศูนย์พักพิงนุโพมีผู้พักพิง 7.5 พันคน ศูนย์อุ้มเปี้ยมมีผู้พักพิงกว่า 8 พันคน และศูนย์พักพิงแม่หละมีราว 3 หมื่นคน

รพ.ในศูนย์พักพิงในสอยปิดภายหลังองค์กร IRC ที่สนับสนุนถูกตัดงบประมาณ

เมื่อถามว่ารัฐบาลต้องจัดงบประมาณสนับสนุนเพิ่มหรือไม่ เพราะปกติงบประมาณของโรงพยาบาลชายแดนก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว ผอ.รพ.อุ้มผางกล่าวว่า จริงๆแล้วงบประมาณก็ไม่พอมาโดยตลอด แต่ได้เรียนไปยังนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดว่าเป็นโอกาสดีเพราะเป็นผลกระทบจากนโยบายระดับโลกซึ่งกระทรวงสาธารณสุขควรดำเนินการตั้งกองทุนขอบริจาคระดับประเทศซึ่งหากกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพคอยดูแลช่วยเหลือสถานบริการตามแนวชายแดนหรือใครก็ได้ที่มีความจำเป็นก็เป็นเรื่องที่ดีซึ่งอาจมีเศรษฐีระดับโลกใจดีมาร่วมบริจาคก็ได้ เพราะการปล่อยให้โรงพยาบาลในพื้นที่ทำก็เป็นเรื่องแค่ในพื้นที่ แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องระดับโลกก็อาจทำได้ทั้งประเทศ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีเครื่องไม้เครื่องมือและบุคลากรที่สามารถดำเนินการช่วยเหลือดูแลได้ โดยควรประสานกับ UNHCR (สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ)ด้วยเพราะดูแลเรื่องนี้อยู่ และปัจจุบันมีคนไม่มีสัญชาติไทยอยู่ในสังคมไทยจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวถามว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องแบ่งทรัพยากรของคนไทยไปให้ผู้ลี้ภัย จะอธิบายว่าอย่างไร นพ.วรวิทย์กล่าวว่า ความเห็นทุกคนเป็นสิ่งที่ควรรับฟัง แต่ความเห็นบางอย่างไม่สามารถนำมาใช้ในสถานการณ์ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ได้ โดยคนที่อยู่หน้างานในอาชีพสายสุขภาพเช่นพวกตน ถ้าไม่ยึดหลักมนุษยธรรมไว้ก็ไม่รู้จะยึดหลักอะไร เพราะหลายคนไม่เคยมาอยู่หน้างานหรือเผชิญสถานการณ์ในพื้นที่จริง เราก็ไม่สามารถทำตามข้อเสนอนั้นได้ ขณะที่หลักการด้านมนุษยธรรมเป็นหลักการสำคัญสำหรับคนทำงานสายสุขภาพ ดังนั้นอะไรที่ขัดหลักมนุษยธรรมเราก็ทำไม่ได้ ที่สำคัญหากไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น จะควบคุมโรคไม่ได้และจะเกิดความสูญเสียมากขึ้น เช่น กรณีเกิดโรคระบาดวัณโรค แม้ผู้ป่วยเป็นคนนอกศูนย์พักพิง เราก็ต้องรีบรักษาให้หายโดยเร็ว เพราะใครก็ติดต่อได้ ดังนั้นการรักษาโรคบางโรคก็เป็นการควบคุมโรคไปด้วย

“การรักษาโรคติดเชื้อร้ายแรงเป็นการควบคุมโรคไปด้วย เราต้องทำหน้าที่ของเรา แต่คนที่วิจารณ์เขาอาจไม่ใช่เป็นผู้ควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ส่วนเรื่องการเงินเราพยายามใช้ให้น้อยที่สุดอยู่แล้วเพราะเราไม่ได้มีทรัพยากรเหลือเฟือ แต่การป้องกันใช้ทรัพยากรน้อยกว่าการรักษาโรคมาก เช่น เด็กคนหนึ่งเป็นบาดทะยักแรกเกิด เราใช้เวลาดูแลเด็กกว่า 2 เดือน หมดค่ายากว่า 1.4 แสนบาท แต่เชื่อหรือไม่โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยชุดทำคลอดหมอตำแยราคาแค่ 200 บาท หรือวัณโรคหากรักษาทุกคนต้นทุนอยู่ที่ 3,000-4,000 บาท แต่ถ้าเขาเป็นวัณโรคดื้อยาต้องเริ่มต้นรักษาใช้งบประมาณ 2 แสนบาท ซึ่งเชื้อแบบนี้ติดใครก็ได้ หากเราปล่อยให้โรคแบบนี้แพร่เข้าไปในพื้นที่ชั้นในจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเราจึงทำในสิ่งที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น” ผู้อำนวยการรพ.อุ้มผาง กล่าว

ขณะเดียวกันที่ค่ายแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จ.ตาก ได้มีการประชุมด่วนระหว่างนายอำเภอ ปลัดอำเภอ ผู้อำนวยการ รพ.ท่าสองยาง ตัวแทน IRC คณะกรรมการค่ายผู้ลี้ภัย และคณะกรรมการผู้ลี้ภัย (KRC) เนื่องจากความช่วยเหลือทุกประการของ IRC จะสิ้นสุดในวันที่ 31 มกราคม รวมถึงทุกอุปกรณ์ เช่น เครื่องปั่นไฟ อาคารสถานที่ ตลอดจนถังอ๊อกซิเจนที่ให้ผู้ป่วยอยู่ โดยตัวแทน IRC แจ้งว่าจะปรึกษาหารือกับ Bureau of Populations, Refugees and Migration ภายใต้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ถึงแนวทางว่าจะทำอย่างไรต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า รพ.ค่ายผู้ลี้ภัยแม่หละ มีผู้ป่วยอยู่ 60 คน โดยต้องกลับบ้านไป 44 คน เป็นผู้ป่วยหนัก 14 คนซึ่งในจำนวนนี้ต้องให้อ๊อกซิเจนอยู่ 9 คน และหลังจากมีการประกาศ ญาติได้พยายามนำตัวกลับไป หรือไปให้อ๊อกซิเจนต่อที่บ้าน ล่าสุดเหลือนอนให้อ๊อกซิเจนอยู่ที่รพ. 4 คน และรพ.ท่าสองยาง ได้ช่วยเหลือประสานรถฉุกเฉินสำหรับการส่งตัวผู้ป่วยหนักไปรพ.ท่าสองยาง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

“ในการประชุมคณะกรรมการผู้ลี้ภัยเสนอว่า ในค่ายผู้ลี้ภัยมีบุคคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการอบรมมาอยู่จำนวนหนึ่ง และแพทย์ พยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลในค่ายผู้ลี้ภัย ที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลของ IRC จะเป็นอิสระที่จะทำงาน หรือต้องออกจากงานภายใน 31 มกราคมนี้ บางส่วนน่าจะยินดีมาช่วยเหลือชุมชน ดังนั้นเรื่องบุคคลากรจะไม่ใช่ปัญหา สิ่งที่ต้องการขอให้รัฐบาลไทยช่วย คือเจรจากับสหรัฐฯและ IRC ให้อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยได้ใช้ facility โรงพยาบาล อุปกรณ์ต่าง ๆ และยาเท่าที่มีอยู่ จะได้หรือไม่ โดยจะมีการตั้งคณะทำงานระหว่างคณะกรรมการผู้ลี้ภัย อำเภอ รพ.ท่าสองยาง เพื่อการสื่อสารและประสานส่งตัวผู้ป่วย”รายงานข่าวระบุ

แหล่งข่าวในศูนย์พักพิงชั่วคราวเปิดเผยว่า ขณะนี้มีรพ.ในศูนย์พักพิงที่ปิดไปแล้วเนื่องจาก IRC ถูกตัดงบประมาณมี 5 แห่ง ประกอบด้วย รพ.ในศูนย์อุ้มเปี้ยม ศูนย์แม่หละ ศูนย์ในสอย ศูนย์แม่สุรินทร์ ศูนย์นุโพ ส่วนที่ศูนย์ถ้ำหินและศูนย์บ้านต้นยาง กำลังตรวจสอบอยู่ว่าปิดหรือไม่

นางมึหล่าทู (นามสมมุติ) ผู้ลี้ภัยในศูนย์พักพิงชั่วคราวอุ้มเปี้ยม กล่าวว่า ตนป่วยด้วยโรคเบาหวานและโรคไตมานานแล้ว โดยในวันเดียวกันนี้นัดล้างแผลเรื้อรังที่โรงพยาบาลในค่ายอุ้มเปี้ยมและยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีเพราะโรงพยาบาลปิดไปแล้ว

“ถ้าใครที่พอมีเงิน เขาจะหารถเช่าไปโรงพยาบาลอุ้มผาง แต่ถ้าไม่มีเงิน เราก็เกรงใจ ผู้ลี้ภัยบางคน แม้แต่ยาพาราฯเขายังไม่มีเงินจะซื้อ เมื่อก่อนนี้ IRC มีรถไปส่ง ดูแลค่าอาหารระหว่างทางกับค่ารักษาให้หมด แต่ตอนนี้โรงพยาบาลร้างแล้ว เหลือแต่คนอาการหนักแบบไม่ยกไปไหนไม่ได้จริง ๆ นั้นแหละ คนอื่นเขาให้แบกกลับบ้าน”นางมึหล่าทู กล่าว

นางมึหล่าทูกล่าวว่า า เมื่อคืนวานมีหญิงเพื่อนบ้านเพิ่งเช่ารถไปคลอดที่โรงพยาบาลอุ้มผาง เพราะโรงพยาบาลในศูนย์ปิด ซึ่งโรงพยาบาลไทยก็เข้าใจปัญหาและดูแลให้เป็นอย่างดี 

“ฉันนึกไม่ออกว่าจะอยู่อย่างไรอีก 90 วัน เพราะแค่ 1-2 วันก็แย่แล้วกับการไม่มีหมอ ไม่มีพยาบาล แล้วเราจะฝากชีวิตไว้กับใคร นี่คือสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น มันกระทันหันเกินกว่าจะรับมือ” นางมึหล่าทู กล่าว

(อ่านเพิ่มเติมเรื่องราวของผู้ลี้ภัยในศูนย์พักพิงที่สถานพยาบาลปิดกิจการ https://transbordernews.in.th/home/?p=41223 )

On Key

Related Posts

มาเฟียจีนกระเจิงหนีจากเมียวดี ระดับหัวหน้าหนีซุก กทม. บางส่วนหลบไปพะอัน-มัณฑะเลย์ ทางการแดนมังกรส่งรายชื่อไล่ล่า 5 ระดับบิ๊ก BGF ส่ง 200 คนให้แล้ว-รัฐบาลทหารพม่าขอเอี่ยวส่งชาวต่างชาติชเวโก๊กโก่ให้ไทย

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 แหล่งข่าวจากชเวโก๊กRead More →

ทางการไทยไม่พร้อมรับชาวต่างชาตินับหมื่นในชเวโก๊กโก่ “ชิตตู”หวั่นภาระใหญ่หลังเปิดปฎิบัติการสำรวจคัดแยกตั้งแต่เช้า-เผยมีหญิงไทย 700 คนอยู่ในสถานบริการ “ศ.ปิ่นแก้ว”ระบุมาเฟียจีนระดับบอสหนีไปอยู่เมืองพะอันหมดแล้ว จี้รัฐตรวจสอบเส้นทางการเงิน

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 แหล่งข่าวจากเขตปกครRead More →

เวทีสุดท้ายรับฟังเขื่อนสานะคาม ชาวบ้านเรียกร้อง สปป.ลาว รับผิดชอบผลกระทบข้ามพรมแดน ด้านภาค ปชช. จัดเวทีคู่ขนานยุติเขื่อนแม่น้ำโขง-พัฒนาพลังงานทางเลือกแทน

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ห้องประชุมโรงแรมRead More →