
เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2568 ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย และผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการลุ่มน้ำโขงเหนือ ให้สัมภาษณ์กรณีมลพิษในแม่น้ำกก ว่าจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เชียงรายเมื่อปี 2567 ตนในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิฯ ได้เสนอให้มีการซักซ้อมความเข้าใจแผนป้องกันน้ำท่วมที่มีอยู่แล้วของคณะกรรมการลุ่มน้ำฯ แต่ไม่เคยนำมาซักซ้อมแผน และยังไม่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำมาปฏิบัติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ก็มีแผนส่งมาให้ แค่มีการรายงานให้ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ทราบแต่ไม่มีมีการติดตาม monitor ว่าแต่ละหน่วยงานปฏิบัติอย่างไร ได้เตรียมความพร้อมอย่างไร เมื่อเกิดเหตุจะทำอย่างไร มีแผนแต่ยังไม่ได้ปฏิบัติ ชาวบ้านไม่รู้เลยว่ามาตรการเหล่านี้มีอย่างไร
“ปัญหาคือรู้แผนกันแค่ส่วนราชการ เมื่อเกิดเหตุก็สับสนอลหม่าน ความเสียหายก็เกิดขึ้นกับประชาชน” ดร.เสถียร กล่าว

อาจารย์ด้านสิ่งแวดล้อมกล่าวอีกว่า เหมืองทองในรัฐฉาน โจทย์ใหญ่คือ ในหลักการแก้ปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม ส่วนแรก คือการจัดการต้นเหตุที่แหล่งกำเนิด หากแก้ได้ตรงนี้คือจบ ส่วนที่สอง คือแก้ที่ทางผ่านของมลพิษ (pathway) หากเป็นการจัดการในระบบปิดไม่มีปัญหา เรากำจัดสารเคมีได้โดยเติมสารต่างๆ ให้ตกตะกอน แต่การปนเปื้อนในแม่น้ำ เป็นระบบนิเวศที่ใหญ่ ตนได้หาข้อมูลจากที่ต่างๆ ทั่วโลกกว่า 30 ผลการศึกษา รวมถึงกรณีที่คลิตี้ ซึ่งเป็นลำห้วยเล็กๆ ก็ยังจัดการไม่ได้เลย แต่แม่น้ำกกในประเทศไทยมีขนาดถึง 7,300 ตร.กม. การปนเปื้อนเราไม่รู้ว่าไปถึงไหนแล้ว ปัญหาใหญ่ว่า
“ผมได้อ่านรายงานจากทั่วโลกพบว่าปลา นก สัตว์หน้าดิน จะซึมซับสารเหล่านี้เข้าไป รวมทั้งน้ำที่ใช้ในระบบการเกษตร อาหารต่างๆ คือหายนะของห่วงโซ่อาหาร ระยะยาวห่วงโซ่อาหารถูกทำลาย คนในลุ่มน้ำกกจะได้รับผลกระบมหาศาล นี่คือกรณีที่ร้ายแรง”ผศ.เสถียร กล่าว และว่าส่วนที่สามคือ การแก้ไขที่ผู้สัมผัสหรือได้รับผลกระทบ เช่น เกษตรกร คนหาปลา การท่องเที่ยวและสันทนาการ ซึ่งมีโอกาสในการสัมผัสสารโลหะหนักและสารอื่นๆ ที่เรายังไม่รู้ ผู้ใช้น้ำอุปโภคบริโภคที่ใช้น้ำกก ซึ่งการตรวจสอบคุณภาพน้ำของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เอาน้ำมาล้างหน้าโชว์ก็ไม่ได้ช่วยอะไร
“คุณต้องให้ทำให้ประชาชนเชื่อถือว่าข้อมูลน้ำดิบก่อนเข้าสู้ระบบน้ำประปาต้องอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน น้ำดิบจากน้ำกกต้องไม่มีสารโลหะหนัก ค่าอื่นๆ อาจจะสามารถจัดการได้โดยระบบการผลิตประปา แต่โลหะหนักต้องใช้สารเพื่อทำปฏิกิริยา oxidation การใช้น้ำปริมาณมากทำได้ยาก ประสิทธิภาพคงไม่เต็มร้อย ทำได้แค่ให้ตกตะกอน เมื่อผลิตแล้วต้องตรวจน้ำประปาที่จะจ่ายให้แก่ประชาชนก่อนออกจากแทงค์ของกปภ. และที่ปลายท่อ ต้องสุ่มตรวจว่ามีคุณภาพสำหรับน้ำอุปโภคบริโภคตามที่กำหนดโดยองค์กรอนามัยโลก (WHO) หรือไม่ นำข้อมูลผลการตรวจสอบเผยแพร่ให้ประชาชนทราบเพื่อความมั่นใจ นำหลักวิชาการมาใช้”ผศ.เสถียร กล่าว
อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ฯกล่าวว่า ปัจจุบัน โจทย์ของเชียงราย ไม่รู้ว่ามีการจัดตั้งศูนย์จัดการปัญหานี้แล้วหรือยัง เพราะควรเป็นวาระเร่งด่วน ข้อมูลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพด้านต่างๆ ต้องถูกผลิตและนำมาสื่อสารให้แก่ประชาชน และช่องทางการสื่อสารให้ผู้ได้รับผลกระทบมีช่องทางใดบ้าง ให้ชาวบ้านสามารรถแจ้งข้อมูลเข้ามาได้และวางแผนแก้ไข หน่วยงานด้านสุขภาพ สำนักสาธารณสุขจังหวัด องค์กรปกครองท้องถิ่น ต้องมีมาตรการเชิงรับและเชิงรุก เฝ้าระวังปัญหาที่เกิดขึ้น ตอนนี้ยังไม่เห็นมาตรการเหล่านี้” ผศ.ดร.เสถียรกล่าว
นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมกล่าวอีกว่า โจทย์ใหญ่คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ต้องเป็นวาระเร่งด่วนของประเทศ มลพิษข้ามแดน ต้นเหตุอยู่ในพม่าซึ่งเป็นรัฐล้มเหลว ไม่ใช่แค่ทุนจีนและว้า แต่ในรัฐฉานก็มีทุนรัสเซียและทุนไทยทำเหมืองหลายแห่ง การจัดการทรัพยากรนอกเขตอธิปไตย ปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ต้องใช้การแก้ปัญหาทางการเมือง ตนเห็นว่าเร่งด่วนตอนนี้คือ คนลุ่มน้ำกกต้องเปิดให้ทุกคนร่วมลงชื่อ ส่งหนังสือให้นายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงมารับเรื่อง และแก้ปัญหาระหว่างประเทศ
“ตอนนี้เราแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งจะไม่รู้จักจบสิ้น เราจะได้รับผลกระทบไปจนกว่าเขาจะเลิกทำเหมือง ต้องให้เขาหยุดทำเหมือง หากหยุดไม่ได้ก็ต้องจัดการก่อนปล่อยมลพิษลงมา แม้เป็นความหวังที่ริบหรี่ แต่อยากเห็นรัฐบาลแอคชั่น” ผศ.เสถียร กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะเข้าหน้าฝนแล้ว แผนรับมือภัยพิบัติน้ำท่วมแม่น้ำกกเป็นอย่างไร ดร.เสถียร กล่าวว่า ส่วนกลางมี 9 มาตรการรับมือฤดูฝน แต่ก็ไม่เห็นการซักซ้อมเตรียม ตนพูดเสมอว่าทำไมไม่ซักซ้อม และส่งข้อมูลให้ประชาชนทราบด้วย
เมื่อถามถึงความขุ่นของแม่น้ำกกที่เพิ่มสูงขึ้น 8-9 เท่าส่งผลต่อระบบนิเวศหรือไม่ ผศ.เสถียรกล่าวว่า เปลี่ยนแน่นอน เพราะความขุ่นมีผลต่อแสงที่ลงไปในน้ำ รวมทั้งปริมาณออกซิเจนก็ลดลง ค่าพารามิเตอร์คุณภาพน้ำต่างๆ ก็ได้รับผลกระทบ และยิ่งขุ่นมากแบบนี้ กว่าจะให้ตกตะกอนและใช้ผลิตประปาต้องใช้สารส้มหลายเท่าเลย
“ผมไม่แน่ใจว่าแม่น้ำโขงจะได้รับผลกระทบด้วยหรือไม่ เพราะทั้งแม่น้ำกก แม่น้ำสาย-รวกที่มีสารโลหะหนักเกินมาตรฐานต่างก็ไหลลงแม่น้ำโขง กรณีที่การประปาแม่สายบอกว่าจะเปลี่ยนแหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำสายเป็นแม่น้ำโขง ผมอยากให้ไปสำรวจตรวจสอบให้ดีว่าคุณภาพน้ำแม่น้ำโขงในช่วงนั้นเป็นอย่างไร”อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฎฯกล่าว
ขณะเดียวกันจากการที่ผู้สื่อข่าวลงสำรวจพื้นที่แม่น้ำกกและแม่น้ำโขงในพื้นที่อำเภอเชียงแสน ในช่วงเทศสงกรานต์ที่เป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างต้องการเล่นน้ำตามริมแม่น้ำ แต่ปรากฏว่าชายหาดริมน้ำกก เช่น หาดเชียงราย หาดโยนก นักท่องเที่ยวยังบางตา เนื่องจากกระแสข่าวเรื่องสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำ ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่มั่นใจ
นางกัญญา หวังจองกลาง แม่ค้าที่หาดโยนก อ.เชียงแสน กล่าวว่า เข้ามาเช่าพื้นที่ขายของเป็นปีแรกลงทุนไปเกือบ 1 แสนบาท หวังว่าจะขายของได้มากช่วงเทศกาล แต่หลังมาตั้งร้านได้ 3 วันและมีข่าวว่าสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก ทำให้มีนักท่องเที่ยวน้อย ตนก็ไม่แน่ใจว่าปีนี้จะขายของได้หรือไม่ ต้องขาดทุนแค่ไหน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนสถานการณ์ด้านอำเภอแม่สาย ภายหลังพบสารหนูปนเปื้อนแม่น้ำสายค่าสูงกว่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.014 มคก./ล. หลังจากที่ทราบความกังวลของคนในชุมชนแม่สาย และทางอำเภอ และเทศบาลในพื้นที่ลุ่มน้ำสายได้ออกแจ้งเตือนให้ประชาชนงดในน้ำจากลำน้ำสายและคลองชลประทานมาใช้สาดน้ำเล่นสงกรานต์และงดสัมผัสน้ำจากลำน้ำสายจนกว่าผลการตรวจซ้ำจะแจ้งมาว่าปลอดภัย
อ่านบทความของ ดร.เสถียร ที่ https://transbordernews.in.th/home/?p=42101