Search

สถาบันวิจัยสหรัฐเผยเหมืองแรร์เอิร์ทเกลื่อนภูมิภาค 540 แห่ง ชี้วิธีการสุดอันตราย-ฉีดกรดเข้าภูเขาปล่อยของเหลวไหลสู่แอ่งน้ำ-สว.ชี้เป็นภัยคุกคามใหญ่ แนะรัฐตั้ง คกก.ระดับชาติให้นายกเป็นประธานเร่งแก้ไข

เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 Stimson Center ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยและคลังสมอง ด้านนโยบายระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่บทความ “เหมืองแร่หายากพิษทำลายลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำโขงในสามเหลี่ยมทองคำ” โดยมีเนื้อหาสำคัญว่า การทำเหมืองแร่หายาก หรือ แรร์เอิร์ท โดยไร้การควบคุมเริ่มขึ้นในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงฝั่งพม่าและขยายเข้าสู่ลาว เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูงจาก Planet Labs พบเหมืองแร่หายากรวมแล้ว 540 แห่งในลุ่มน้ำโขง สาละวิน อิรวดี และลุ่มน้ำทางเหนือของลาว-เวียดนาม

Stimson Center ระบุว่ากระบวนการทำเหมืองมีความเป็นพิษสูง การฉีดน้ำผสมปุ๋ยหรือกรดเข้าไปในภูเขาที่ถูกตัดไม้จนโล้น ก่อให้เกิดโคลนเหลวที่ไหลลงสู่แอ่งน้ำด้านล่างเพื่อแยกวัตถุดิบแร่หายาก น้ำจากแม่น้ำที่ถูกสูบไปใช้จะถูกปล่อยกลับคืนสู่ลำน้ำท้องถิ่นโดยมีการปนเปื้อนสารโลหะหนักและสารเคมี เช่น สารหนู แมงกานีส ปรอท และแคดเมียม  ผู้เชี่ยวชาญในเชียงรายสงสัยว่าเหมืองเหล่านี้ดำเนินการโดยบริษัทจีน ซึ่งอาจสวมรอยเป็นพลเมืองพม่า มีการติดตามเส้นทางการเคลื่อนย้ายของนักขุดชาวจีนจากรัฐคะฉิ่นทางเหนือของพม่าลงสู่รัฐฉาน

ทั้งนี้ในเดือนมิถุนายน สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงเทพฯ ได้โพสต์เฟซบุ๊กปฏิเสธการเกี่ยวข้องของชาวจีนกับการทำเหมืองแร่หายากในพม่า

“แร่หายากที่ถูกลำเลียงจากพม่าเข้าสู่จีนช่วยสนับสนุนการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงสินค้าอีกหลากหลาย ขณะเดียวกันเสียงจากคนในชุมชนคาดการณ์ว่าแร่หายากบางส่วนถูกลักลอบขนเข้าสู่จีนผ่านเส้นทางคมนาคมที่รวดเร็วกว่าในไทยและลาว หรือทางเรือบรรทุกสินค้าขึ้นไปตามแม่น้ำโขง” Stimson Center ระบุในบทความ

Stimson Center ระบุว่าจากการสืบสวนพบเหมืองแร่หายาก 15 แห่งในลุ่มน้ำสาขาของแม่น้ำโขงในลาว (3 แห่งในแม่น้ำคาน และ 12 แห่งในแม่น้ำเงียบ)

แหล่งข่าวแจ้งว่า ชุมชนที่อาศัยอยู่ปลายน้ำในแขวงหัวพัน ไม่สามารถใช้น้ำในแม่น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคหรือการประมงได้ แม่น้ำในแขวงหัวพันไม่ได้อยู่ในลุ่มน้ำโขง แต่ไหลเข้าสู่เวียดนามตอนกลาง (ลุ่มน้ำซองมา ลุ่มน้ำซองจู และลุ่มน้ำซองลำ) เหมืองแร่หายากที่อยู่ปลายน้ำที่สุดบนแม่น้ำเงียบในลาวตอนกลาง ไหลลงสู่แม่น้ำโขงสายหลัก ห่างจากกัมพูชาเพียงกว่า 300 กิโลเมตร และกิจกรรมเหมืองอื่น ๆ ก็เริ่มปรากฏขึ้นตามแม่น้ำในลาวตอนใต้ที่อยู่ใกล้กัมพูชา

“นี่แสดงให้เห็นว่าลำน้ำโขงสายหลักในกัมพูชาและอาจรวมถึงทะเลสาบเขมร ซึ่งทั้งสองเป็นแหล่งโปรตีนกว่า 70% ของชาวกัมพูชา กำลังเผชิญกับระดับการปนเปื้อนแล้ว” Stimson Center ระบุ

Stimson Center ระบุอีกว่าเหมืองแร่ในพม่ารวมตัวอยู่ในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของกองกำลังชาติพันธุ์ที่มีความสัมพันธ์กับปักกิ่ง กองกำลังเหล่านี้มักพัวพันกับอุตสาหกรรมทรัพยากรผิดกฎหมายหรือการผลิตยาเสพติดเพื่อสร้างรายได้เลี้ยงดูการปกครองและการป้องกันดินแดน

“แม่น้ำหลวย ไหลสู่แม่น้ำโขงตามแนวชายแดนพม่า–ลาว เป็นพื้นที่ที่มีเหมืองแร่หายากหนาแน่นที่สุดในลุ่มน้ำ โดยอ้างอิงจากรายงานของมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ถึงการเพิ่มขึ้นของเหมืองในเขตอำนาจของกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army-UWSA) และกองทัพเมืองลา (NDAA) โดย Stimson Center ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมพบเหมืองแร่หายาก 31 แห่งในรัฐว้าใกล้ต้นน้ำแม่น้ำหลวย และอีก 26 แห่งในเขต NDAA ที่อยู่ปลายน้ำลงมา (ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง เหนือสามเหลี่ยมทองคำ)”

วันเดียวกันที่อาคารรัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา นำโดยนายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานคณะกรรมาธิการ แถลงผลการลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่19-21 กันยายน 2568 เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดการสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกและปัญหากระบวนการพิจารณาสัญชาติและสถานะบุคคลจังหวัดเชียงราย โดยนายนรเศรษฐ์ กล่าวถึงภาพรวมสถานการณ์ปนเปื้อนของสารหนูและโลหะหนักในลุ่มน้ำที่ทวีความรุนแรงจนเป็นภาวะวิกฤตที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ปัญหาลักษณะนี้เป็นปัญหามลพิษข้ามพรมแดน โดยมีต้นตอหลักจากการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน เมียนมา และสารพิษได้ไหลสู่ระบบแม่น้ำสายหลักของจังหวัด ได้แก่ แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก แม่น้ำกก ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง

“วิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงคุกคามความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สุขภาพวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำ การแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบจึงมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์สูงสุดเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของสาธารณชน ปกป้องเศรษฐกิจท้องถิ่น และรักษาสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติอันเป็นรากฐานของชุมชน ซึ่งประเด็นท้าทายที่จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญคือความซับซ้อนของมลพิษข้ามพรมแดนและการเจรจาระหว่างประเทศ”นายนรเศรษฐ์ กล่าว

ประธานกมธ.พัฒนาการเมืองฯ กล่าวว่าในการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ต้องเผชิญอุปสรรคจากความแตกต่างของเกณฑ์ค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำ ประเทศไทยกำหนดค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำผิวดินไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร ในขณะที่ประเทศเมียนมากำหนดไว้ที่ 0.05 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าถึง 5 เท่า ทำให้การเจรจาทางการทูตมีความซับซ้อนและต้องใช้กลไกหลายระดับ

นายนรเศรษฐ์กล่าวว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้างต่อชุมชนท้องถิ่น เช่น ข้าวเชียงรายซึ่งอาจมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในระยะยาว มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปพิจารณาผลักดันให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมและทันต่อสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะเร่งด่วน ได้แก่ 1. จัดตั้งโครงการนำร่องเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของฝายดักตะกอน โดยมอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษและกรมชลประทานร่วมกับหน่วยงานวิชาการในพื้นที่ดำเนินโครงการทดลองสร้างกล่องหรือฝายดักตะกอนขนาดเล็กในคลองชลประทานที่รับน้ำโดยตรงจากแม่น้ำสายเพื่อพิสูจน์แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ตามข้อเสนอของผู้ว่าราชการจังหวัด 2. เร่งรัดการจัดตั้งห้องปฏิบัติการกลางในเชียงราย ผลักดันการจัดสรรงบประมาณให้มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็นหน่วยงานหลักในการจัดตั้งศูนย์ตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำและสารปนเปื้อนที่มีมาตรฐาน 3. พัฒนากลไกการสื่อสารความเสี่ยงที่เป็นเอกภาพ โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายและสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด ร่วมกันจัดทำคู่มือและสื่อประชาสัมพันธ์ที่อธิบายความหมายของค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำตามวัตถุประสงค์การใช้งานต่าง ๆ ให้มีความชัดเจนและเข้าใจง่าย เพื่อลดความสับสนในสังคม สร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนสามารถใช้น้ำได้อย่างปลอดภัยตามสถานการณ์ และลดผลกระทบเชิงจิตวิทยาที่ไม่จำเป็น

นายนรเศรษฐ์กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1. ผลักดันแผนจัดหาแหล่งน้ำดิบสำรองที่ปลอดภัย โดยบรรจุโครงการจัดหาแหล่งน้ำดิบทางเลือก เพื่อใช้ในการผลิตน้ำประปาให้กับพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญและมีความเสี่ยงสูงอย่างอำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย ให้เป็นวาระสำคัญในแผนงบประมาณประจำปีของประเทศ

2. ยกระดับการแก้ไขปัญหาโดยจัดตั้งคณะทำงานระดับชาติ ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานหรือคณะกรรมการเฉพาะกิจระดับชาติที่มีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน เพื่อบูรณาการการทำงานของทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง 3. ดำเนินนโยบายการทูตเชิงรุกหลายมิติ นอกเหนือจากการเจรจาแบบทวิภาคีระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล ให้กระทรวงการต่างประเทศใช้กลไกระหว่างประเทศควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพื่อสร้างแรงกดดันและเรียกร้องความรับผิดชอบจากบริษัทผู้รับซื้อแร่ในห่วงโซ่อุปทานให้เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบและแก้ไขผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากแหล่งต้นทาง

นางสาวมณีรัฐ เขมะวงค์ สวและกรรมาธิการ กล่าวว่า เสียงสะท้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ รัฐบาลซึ่งมีอำนาจเต็มในการแก้ไขปัญหาจะยกระดับเป็นปัญหาระดับประเทศ เนื่องจากเป็นปัญหาที่ผูกพันกับผลประโยชน์และความมั่นคงของนานาชาติ

————-

On Key

Related Posts

สถาบันวิจัยสหรัฐเผยเหมืองแรร์เอิร์ทเกลื่อนภูมิภาค 540 แห่ง ชี้วิธีการสุดอันตราย-ฉีดกรดเข้าภูเขาปล่อยของเหลวไหลสู่แอ่งน้ำ-สว.ชี้เป็นภัยคุกคามใหญ่ แนะรัฐตั้ง คกก.ระดับชาติให้นายกเป็นประธานเร่งแก้ไข

เผยนโยบายเร่งรัดแก้ปัญหาสัญชาติสะดุดเป็น “คอขวด”เหตุไร้งบ-ไร้บุคลากรสนับสนุน นายอำเภอแม่สายครวญ “ให้ปืนแต่ไร้ลูก” ชาวไทลื้อดั้งเดิมโวยอยู่มานานก่อนกลุ่มมติ ครม.29 ตุลาคมแต่กลับไม่คืบ